หากชอบก็ฝากบอกต่อเพื่อนๆให้มาอ่านเป็นกำลังใจให้ผู้แปลทั้งสองคนด้วยครับ
นี้กลุ่มเฟสครับถึงตอนไวกว่าประมาณ
สาม ตอนครับ
ชวนเพื่อนๆมาเข้ากันเยอะๆนะครับจะมีโปรโมชั่นให้อ่านรัวๆกันไปเลย
โปรตอนนี้ คือ
หากมียอดเข้ากลุ่มถึง 200 คนภายในวันนั้น จะ อัพเพิ่ม สองตอน ไม่รวมลงประจำวัน เป็น สามตอนครับ
เดียวจะมีโปรโม่ชั่นดีๆ แบบนี้ให้ได้อ่านกันเรื่อยๆครับ
https://www.facebook.com/groups/1941675866154289/
Immortal จอมราชันย์อัมตะ
ผู้แต่ง: GooseFive
ผู้แปล : ไก่ในตำนาน เเละเเมวนอ้วน
บทที่ 33: ร่ำดื่มท่ามกลางเหล่าสหาย
ไก่ในตำนาน และ แมวอ้วน แปล
หยวนเสินยี ไม่ได้คุยโต เหล้าที่นำมานั้นเป็นของดีจริงๆ
รสชาติกลมกล่อมและทิ้งรสชาติที่อ่อนหวานไว้ในลำคออย่างยาวนาน
แต่สิ่งที่ทำให้น่าทึ่งคือความรู้สึกเบาๆ
ที่ความมึนเมาจะหมุนเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย โม่บ่อกี้
รู้สึกว่าเส้นชีพจรของเขาถูกกระตุ้น
“นี่เป็นเหล้าที่ดีมาก แค่เพียงอึกเดียวข้าก็รู้สึกคึกคักขึ้นมา” โม่บ่อกี้ เอ่ยปากชม เขารู้ได้ทันทีว่ามีส่วนผสมทางจิตวิญญาณบางอย่างอยู่ในเหล้า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้
“นี่เป็นเหล้าที่ดีมาก แค่เพียงอึกเดียวข้าก็รู้สึกคึกคักขึ้นมา” โม่บ่อกี้ เอ่ยปากชม เขารู้ได้ทันทีว่ามีส่วนผสมทางจิตวิญญาณบางอย่างอยู่ในเหล้า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้
เมื่อได้ยิน โม่บ่อกี้ ชื่นชมเหล้าของตัวเอง หยวนเสิ่นยี
ก็รู้สึกยินดีมากจึงพูดว่า "น้องโม่ รอบรู้จริงๆ
เหล้าของข้านี่มาจาก ฉางอัน มีครั้งหนึ่งที่ข้าบังเอิญเข้าไปในป่าหมอกสายฟ้า
ข้าไม่ได้คิดจะบอกว่าได้รับพรวิเศษอะไร ความจริงก็คือข้าได้ผลไม้แห่งจิตวิญญาณมา
ข้าใช้ผลไม้วิญญาณกลั่นเหล้าได้สิบไห กระปุกนี้เป็นเหล้ากระปุกสุดท้ายของข้า
แต่ว่าประปุกมันใหญ่ไปหน่อย ฮ่าๆๆๆ ... "
โม่บ่อกี้ บอกได้ทันทีว่า หยวนเสิ่นยี เป็นคนใจกว้างและมองโลกในแง่ดี
เหล้าที่กลั่นจากผลไม้แห่งจิตวิญญาณจะต้องมีราคามหาศาล
คนทั่วไปไม่มีทางที่จะหาซื้อได้ แต่ หยวนเสิ่นยี
ก็หยิบมันออกมาเพราะเขาชอบคำพูดของ โม่บ่อกี้
“ข้าละอายใจจริงๆ
ทั้งๆที่เราสองคนเพิ่งจะได้พบกันโดยบังเอิญแต่ข้ากลับดื่มเหล้าของพี่หยวนแล้ว” โม่บ่อกี้ เพิ่งนึกได้ว่า เมืองฉางอัน กับเฉิงตู
กำลังทำสงครามกันอยู่ แต่ก็ไม่สำคัญหรอก หลังจากเรื่องนี้ โม่บ่อกี้
จะไม่มีอะไรเกี่ยงข้องกับเฉิงตูอีก
หยวนเสิ่นยี่ หัวเราะ “น้องโม่
เจ้าทำเหมือนเราเป็นคนแปลกหน้า หลังจากที่ข้าได้ยินคำพูดของเจ้าที่ว่า ‘มีพื้นที่ว่างเล็กๆไว้ให้ความเข้าใจ กับคนที่มีความเชื่อไม่ตรงกัน’ ทันใดนั้นข้าก็รู้สึกว่าข้าได้เจอเพื่อนสนิทแล้ว
ข้ามีเรื่องที่ดีกว่าจะบอกเจ้า
มันไม่ใช่กระปุกเหล้าหรอกนะต่อให้เหล้าจะดีแค่ไหนมันก็ไม่ได้ดีเท่ากับ
การพบปะกับเพื่อนเก่า! "
"ไม่ว่าจะดีแค่ไหนมันก็ไม่ได้ดีเท่ากับการพบกับเพื่อนเก่า
พี่หยวน น้าสิบเอ็ด ติงบู้เอ้อ
มาอีกดื่มหนึ่งถ้วย!" จิตใจของ โม่บ่อกี้
ปรอดโปร่งมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกมีความสุขและปราศจากความกังวล
นับตั้งแต่เขาถูกวางอผนฆ่าโดยคนรักของเขา
คนทั้งสี่คนยกจอกขึ้น
เมื่อเขาพยายามจะเปิดชีพจรเส้นแรกความรู้สึกของเขาคือความวุ่นวายและความเร้าใจ
มันไม่ใช่ความสุขที่ไม่มีวันลืม ในขณะนี้เขารู้สึกเป็นอิสระและผ่อนคลาย
หลังจากดื่มแล้ว โม่บ่อกี้ ก็อดที่จะร้องเพลงไม่ได้
"เหลือเพื่อนอีกสักกี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก
ยังเหลือมิตรถาพอยู่อีกสักแค่ไหน
วันนี้ขอแค่เพียงเราไม่ปล่อยมือไป
มิตรภาพนั้นจะคงอยู่ในหัวใจเรา
แต่พวกเราก็ยังคงจะต้องบอกลา
เขาจะขอแค่เพียงได้พบกัน
แต่ว่าบางคนก็ทำไม่ได้
ยังเป็นเพื่อนอยู่
แม้จะห่างไกลจากกันนับหมื่นลี้
ต้องแยกทางและห่างเหินไป
ไม่จำเป็นจะต้องเจอกัน
เราจะรู้ในหัวใจของเรา
มิตรภาพจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
[1]
ตอนแรกมันเป็นแค่การร้องเพลงคนเดียวของ โม่บ่อกี้ หลังจากนั้น
หยวนเสิ่นยี และ คนอื่นๆ ก็จดจำเนื้อเพลงและร้องไปด้วยก้นทั้งหมด
…
เหวินหม่านซู่ ยืนอยู่ข้างกระโจมของ โม่บ่อกี้ และขมวดคิ้ว
การได้เห็น โม่บ่อกี้ สนิทสนมกับ หยวนเสิ่นยี ทำให้นางไม่พอใจ
ก่อนหน้านี้ โม่บ่อกี้ เคยเป็นถึง รัชทายาทของเมืองเมืองหนึ่ง
แม้ว่าเขาจะสูญเสียสถานะเขาก็ไม่ควรตกต่ำ ถ้าเขายังคงลดตัวแบบนี้เขาจะกลับขึ้นมาไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดของนางที่มีต่อ โม่บ่อกี้ นางคงสะบัดหน้าจากไปแล้ว
บางทีนางอาจจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางก็มาเพื่อจุดประสงค์ในการช่วย
ซือถูโพ สอบถามเรื่องของ 'สุภาพบุรุษจอมปลอม'
แต่เมื่อนางได้ยิน โม่บ่อกี้ ร้องเพลง “แสงแห่งมิตรภาพ” นางตกใจมาก อาจจะบอกได้ว่านางใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของนางร่วมกับ
โม่บ่อกี้ และนางเข้าใจ โม่บ่อกี้ จนถึงกระดูก แต่นางกลับไม่เคยรู้เลยว่า
โม่บ่อกี้ มีพรสวรรค์ทางด้านร้องเพลง
บทเพลงนี้ช่างอ่อนหวานและในเวลาเดียวกันก็เต็มไปด้วยความจริงใจ
“พี่โม่เพลงนี้เป็นเพลงที่ดีจริงๆ
แม้ว่าเราจะถูกขวางกั้นด้วยภูเขานับพันหรือทะเลนับล้าน
มิตรภาพของเราก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” น้าสิบเอ็ดดื่มจนหน้าแดงผิวแดงไปทั้งตัว
นางทำตัวเหมือนผู้ชายคนหนึ่งเดินไปทางด้านของ แล้วจับแขนของ โม่บ่อกี้
และมองเขาด้วยดวงตาที่หยาดเยิ้ม
หยวนเสิ่นยี ยืนขึ้นและยกจอกของเขากล่าวว่า “มันเป็นเพลงที่ดีจริงๆ ข้าชอบมันมากเหลือเกิน
เสียดายแค่เพียงไม่มีเหล้าอยู่ในเพลงนั้น มันยังไม่สมบูรณ์ มาดื่มอีกจอก”
โม่บ่อกี้ ยืนขึ้นแล้วยกจอกดื่มจนหมด แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า "ถ้าจะเอาแบบนี้ งั้นข้าจะร้องเพลงอื่นให้ฟัง”
วันวานจะผ่านไปเหมือนเช่นเดิม
ความสุขนั้นสำคัญเหนืออื่นใด
เหตุการณ์ผ่านไปไม่อาจหวนคืน
หลังจากลูกท้อเหี่ยวเฉาดอกไม้ย่อมผลิบาน
ชีวิตมักต้องเผชิญลมแรงและสายฝนพรำ
หยาดฝนมิอาจหยุดยั้งเราจากการดื่ม
ไม่ว่าเราจะเสียใจหรือไม่
เราก็ค่อยๆคิดไป
นี่คือช่วงเวลาแห่งมิตรสหาย
จอกเหล้าจอกนี้เลอค่าที่สุด
มีจอกในมือเต็มที่สุราเต็มปรี่และร้องเพลงดัง
ๆ
เพื่อนที่ดีเพื่อนที่เยี่ยมเราจะมีความสุขมากในคืนนี้
ขอบอกเลยว่าเราจะโอบกอดไหล่เพื่อนเอาไว้
ดวงตะวันจะทอแสงหลังพายุใหญ่ผ่านพ้น
ให้เราเงยหน้าขึ้นและเรียนรู้ที่จะเข้มแข็ง
เพื่อนก็คล้ายกับจอกเหล้านี้ที่อุ่นหัวใจข้า
ข้าไม่กังวลต่อสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
วันนี้เราได้มาพบกัน
ความรู้สึกความผูกพันเต็มปริ่มอยู่ในจอกเหล้า
เดือนปีผ่านไปดั่งสายน้ำ
ใครสนใจว่าเขาเป็นใครในวันวาน
...
[2] "
โม่บ่อกี้ ร้องเพลงจนเสียงแหบแห้ง ทว่าเสียงแหบห้าวนี้ทำให้ เหวินหม่านซู่ ต้องตกตะลึง แม้นางจะรู้สึกพิเศษกับเพลงก่อนหน้านี้
คำร้องทุกๆคำหวดกระหน่ำลงบนหัวใจนาง จนโลหิตในหัวใจของนางเดือดพล่าน
และบังคับให้เธอเข้าไปดื่มกับพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุม
นี่คือความรู้สึกที่เรียกว่ามิตรภาพหรือ นางเองก็มีเพื่อนของนางเช่นกัน องค์ชายที่เก้าแห่งเฉิงตู
ซือถูโพ ลูกชายของแม่ทัพจ้าวเฟยหู่แห่งเฉิงตู จ้าวพู ลูกชายของเสนาบดีเหยาคัง
เหยาผิงเฉิง นอกจากนี้ยังมีคนหน้าซื่อใจคดอย่างจ้าวซู่ ... [3]
ไม่มีสักคนไหมที่ไม่หล่อเหลา
แต่หาไม่ได้สักคนที่จะให้ความรู้สึกเหมือนวีรบุรุษ แต่นางกลับไม่เคยรู้สึกว่าเลือดในกายเดือดพล่านเช่นนี้เมื่อนางอยู่กับพวกนั้น
ถ้า ซือถูโพ ไม่สนใจเรื่อง พลังทานตะวัน ของโม่บ่อกี้ เขาจะยอมให้นางคุยกับ
โม่บ่อกี้ หรือไม่
"เยี่ยม ... เยี่ยม ... น้องโม่ข้าชอบเพลงนี้ ... มีจอกที่เต็มไปดด้วยเหล้าและร้องเพลงดังๆ เพื่อนที่ดี เพื่อนที่เยี่ยม เราจะมีความสุขมาก ๆ คืนนี้ ... " หยวนเสิ่นยี เข้ามาร้องเพลงกับ โม่บ่อกี้เสียงดัง
"เยี่ยม ... เยี่ยม ... น้องโม่ข้าชอบเพลงนี้ ... มีจอกที่เต็มไปดด้วยเหล้าและร้องเพลงดังๆ เพื่อนที่ดี เพื่อนที่เยี่ยม เราจะมีความสุขมาก ๆ คืนนี้ ... " หยวนเสิ่นยี เข้ามาร้องเพลงกับ โม่บ่อกี้เสียงดัง
ติงบู้เอ้อ และ น้าสิบเอ็ด ก็ร่วมด้วย
เหวินหม่านซู่ ยืนอยู่นอกกระโจมเป็นเวลานาน
และในที่สุดก็สลัดความคิดที่จะเข้าไปในกระโจมออกไป
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องราวในวันนี้ นางคงไม่มีวันรู้เลยว่า โม่บ่อกี้
มีความสามารถมากมายเพียงไหน แค่การร้องเพลงเล่นๆเพียงแค่สองเพลง
เขาสามารถทำให้เลือดในตัวของนางเดือดพล่านและทำให้นางคล้อยตามร่วมร้องเพลงไปด้วยได้
นางเดินออกมาไกลจนไม่ได้ยินเสียงเพลงอีก เหวินหม่านซู่
ค่อยๆก้มหน้าลง นางรู้ดี มันไม่ได้สำคัญว่า โม่บ่อกี้ ร้องเพลงได้ยอดเยี่ยมแค่ไหน
แต่สิ่งสำคัญคือทั้งสองอยุ่ในโลกที่แตกต่างกันมากจนเกินไป
ถ้าเพียง โม่บ่อกี้ มีรากฐานทางจิตวิญญาณนางก็จะคิดหาวิธีที่จะช่วยเหลือเขา แต่น่าเสียดายที่ โม่บ่อกี้ มีรากมนุษย์เท่านั้น หลังจากที่นางเข้าไปในนิกายและเริ่มฝึกฝนระยะห่างระหว่างพวกเขาก็จะกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเพียง โม่บ่อกี้ มีรากฐานทางจิตวิญญาณนางก็จะคิดหาวิธีที่จะช่วยเหลือเขา แต่น่าเสียดายที่ โม่บ่อกี้ มีรากมนุษย์เท่านั้น หลังจากที่นางเข้าไปในนิกายและเริ่มฝึกฝนระยะห่างระหว่างพวกเขาก็จะกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้าวันหน้าข้าประสบความสำเร็จในการฝึกฝนของข้าและถ้าเราจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งข้าจะมอบสมบัติมหาศาลให้เขา
ข้ายังช่วยให้เขาบรรลุความฝันของเขาในการช่วงชิงราชวงศ์ฉินทางตอนเหนือได้ด้วย” นางพึมพำขณะที่เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมดูเหมือนนางพบเหตุผลที่จะไปจาก
โม่บ่อกี้ ได้แล้วจริงๆ
[1] เพลงนี้เรียกว่า友谊之光 คุณสามารถฟังได้ที่นี่: https://www.youtube.com/watch?v=Xklq9C79f9A
[2] เพลงนี้เรียกว่า朋友的酒 คุณสามารถฟังได้ที่นี่: https://www.youtube.com/watch?v=3QAIm49rC2k
[3] ย้อนกลับไป เมื่อ โม่บ่อกี้ อยู่ใน สมาพันธ์แรงงาน
ไปฟังแล้วค่ะ ฟังไม่รู้เรื่องนะ แต่ขอบอกว่า เพลงที่สอง https://www.youtube.com/watch?v=3QAIm49rC2k สนุก และเพราะมากเลย ชอบ ๆ
ตอบลบขอบคุณนะคะ
แปลดีขึ้นมากเลยครับ
ตอบลบ