วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 33: ร่ำดื่มท่ามกลางเหล่าสหาย


หากชอบก็ฝากบอกต่อเพื่อนๆให้มาอ่านเป็นกำลังใจให้ผู้แปลทั้งสองคนด้วยครับ

นี้กลุ่มเฟสครับถึงตอนไวกว่าประมาณ สาม ตอนครับ


ชวนเพื่อนๆมาเข้ากันเยอะๆนะครับจะมีโปรโมชั่นให้อ่านรัวๆกันไปเลย

โปรตอนนี้ คือ หากมียอดเข้ากลุ่มถึง 200 คนภายในวันนั้น จะ อัพเพิ่ม สองตอน ไม่รวมลงประจำวัน เป็น สามตอนครับ เดียวจะมีโปรโม่ชั่นดีๆ แบบนี้ให้ได้อ่านกันเรื่อยๆครับ


https://www.facebook.com/groups/1941675866154289/



                     Immortal  จอมราชันย์อัมตะ

                  ผู้แต่ง: GooseFive  
ผู้แปล : ไก่ในตำนาน เเละเเมวนอ้วน


บทที่ 33: ร่ำดื่มท่ามกลางเหล่าสหาย

ไก่ในตำนาน และ แมวอ้วน แปล
หยวนเสินยี ไม่ได้คุยโต เหล้าที่นำมานั้นเป็นของดีจริงๆ รสชาติกลมกล่อมและทิ้งรสชาติที่อ่อนหวานไว้ในลำคออย่างยาวนาน แต่สิ่งที่ทำให้น่าทึ่งคือความรู้สึกเบาๆ ที่ความมึนเมาจะหมุนเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย โม่บ่อกี้ รู้สึกว่าเส้นชีพจรของเขาถูกกระตุ้น

          นี่เป็นเหล้าที่ดีมาก แค่เพียงอึกเดียวข้าก็รู้สึกคึกคักขึ้นมาโม่บ่อกี้ เอ่ยปากชม เขารู้ได้ทันทีว่ามีส่วนผสมทางจิตวิญญาณบางอย่างอยู่ในเหล้า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้



เมื่อได้ยิน โม่บ่อกี้ ชื่นชมเหล้าของตัวเอง หยวนเสิ่นยี ก็รู้สึกยินดีมากจึงพูดว่า "น้องโม่ รอบรู้จริงๆ เหล้าของข้านี่มาจาก ฉางอัน มีครั้งหนึ่งที่ข้าบังเอิญเข้าไปในป่าหมอกสายฟ้า ข้าไม่ได้คิดจะบอกว่าได้รับพรวิเศษอะไร ความจริงก็คือข้าได้ผลไม้แห่งจิตวิญญาณมา ข้าใช้ผลไม้วิญญาณกลั่นเหล้าได้สิบไห กระปุกนี้เป็นเหล้ากระปุกสุดท้ายของข้า แต่ว่าประปุกมันใหญ่ไปหน่อย ฮ่าๆๆๆ ... "


โม่บ่อกี้ บอกได้ทันทีว่า หยวนเสิ่นยี เป็นคนใจกว้างและมองโลกในแง่ดี เหล้าที่กลั่นจากผลไม้แห่งจิตวิญญาณจะต้องมีราคามหาศาล คนทั่วไปไม่มีทางที่จะหาซื้อได้ แต่ หยวนเสิ่นยี ก็หยิบมันออกมาเพราะเขาชอบคำพูดของ โม่บ่อกี้
ข้าละอายใจจริงๆ ทั้งๆที่เราสองคนเพิ่งจะได้พบกันโดยบังเอิญแต่ข้ากลับดื่มเหล้าของพี่หยวนแล้วโม่บ่อกี้ เพิ่งนึกได้ว่า เมืองฉางอัน กับเฉิงตู กำลังทำสงครามกันอยู่ แต่ก็ไม่สำคัญหรอก หลังจากเรื่องนี้ โม่บ่อกี้ จะไม่มีอะไรเกี่ยงข้องกับเฉิงตูอีก


หยวนเสิ่นยี่ หัวเราะน้องโม่ เจ้าทำเหมือนเราเป็นคนแปลกหน้า หลังจากที่ข้าได้ยินคำพูดของเจ้าที่ว่ามีพื้นที่ว่างเล็กๆไว้ให้ความเข้าใจ กับคนที่มีความเชื่อไม่ตรงกันทันใดนั้นข้าก็รู้สึกว่าข้าได้เจอเพื่อนสนิทแล้ว ข้ามีเรื่องที่ดีกว่าจะบอกเจ้า มันไม่ใช่กระปุกเหล้าหรอกนะต่อให้เหล้าจะดีแค่ไหนมันก็ไม่ได้ดีเท่ากับ การพบปะกับเพื่อนเก่า! "


"ไม่ว่าจะดีแค่ไหนมันก็ไม่ได้ดีเท่ากับการพบกับเพื่อนเก่า พี่หยวน น้าสิบเอ็ด  ติงบู้เอ้อ มาอีกดื่มหนึ่งถ้วย!" จิตใจของ โม่บ่อกี้ ปรอดโปร่งมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกมีความสุขและปราศจากความกังวล นับตั้งแต่เขาถูกวางอผนฆ่าโดยคนรักของเขา
คนทั้งสี่คนยกจอกขึ้น

เมื่อเขาพยายามจะเปิดชีพจรเส้นแรกความรู้สึกของเขาคือความวุ่นวายและความเร้าใจ มันไม่ใช่ความสุขที่ไม่มีวันลืม ในขณะนี้เขารู้สึกเป็นอิสระและผ่อนคลาย
หลังจากดื่มแล้ว โม่บ่อกี้ ก็อดที่จะร้องเพลงไม่ได้

"เหลือเพื่อนอีกสักกี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก
ยังเหลือมิตรถาพอยู่อีกสักแค่ไหน
วันนี้ขอแค่เพียงเราไม่ปล่อยมือไป
มิตรภาพนั้นจะคงอยู่ในหัวใจเรา
แต่พวกเราก็ยังคงจะต้องบอกลา
เขาจะขอแค่เพียงได้พบกัน
แต่ว่าบางคนก็ทำไม่ได้
ยังเป็นเพื่อนอยู่
แม้จะห่างไกลจากกันนับหมื่นลี้
ต้องแยกทางและห่างเหินไป
ไม่จำเป็นจะต้องเจอกัน
เราจะรู้ในหัวใจของเรา
มิตรภาพจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง [1]

ตอนแรกมันเป็นแค่การร้องเพลงคนเดียวของ โม่บ่อกี้ หลังจากนั้น หยวนเสิ่นยี และ คนอื่นๆ ก็จดจำเนื้อเพลงและร้องไปด้วยก้นทั้งหมด


เหวินหม่านซู่ ยืนอยู่ข้างกระโจมของ โม่บ่อกี้ และขมวดคิ้ว การได้เห็น โม่บ่อกี้ สนิทสนมกับ หยวนเสิ่นยี ทำให้นางไม่พอใจ

ก่อนหน้านี้ โม่บ่อกี้ เคยเป็นถึง รัชทายาทของเมืองเมืองหนึ่ง แม้ว่าเขาจะสูญเสียสถานะเขาก็ไม่ควรตกต่ำ ถ้าเขายังคงลดตัวแบบนี้เขาจะกลับขึ้นมาไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดของนางที่มีต่อ โม่บ่อกี้ นางคงสะบัดหน้าจากไปแล้ว บางทีนางอาจจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางก็มาเพื่อจุดประสงค์ในการช่วย ซือถูโพ สอบถามเรื่องของ 'สุภาพบุรุษจอมปลอม'
แต่เมื่อนางได้ยิน โม่บ่อกี้ ร้องเพลงแสงแห่งมิตรภาพนางตกใจมาก อาจจะบอกได้ว่านางใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของนางร่วมกับ โม่บ่อกี้ และนางเข้าใจ โม่บ่อกี้ จนถึงกระดูก แต่นางกลับไม่เคยรู้เลยว่า โม่บ่อกี้ มีพรสวรรค์ทางด้านร้องเพลง บทเพลงนี้ช่างอ่อนหวานและในเวลาเดียวกันก็เต็มไปด้วยความจริงใจ

พี่โม่เพลงนี้เป็นเพลงที่ดีจริงๆ แม้ว่าเราจะถูกขวางกั้นด้วยภูเขานับพันหรือทะเลนับล้าน มิตรภาพของเราก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงน้าสิบเอ็ดดื่มจนหน้าแดงผิวแดงไปทั้งตัว นางทำตัวเหมือนผู้ชายคนหนึ่งเดินไปทางด้านของ แล้วจับแขนของ โม่บ่อกี้ และมองเขาด้วยดวงตาที่หยาดเยิ้ม


หยวนเสิ่นยี ยืนขึ้นและยกจอกของเขากล่าวว่ามันเป็นเพลงที่ดีจริงๆ ข้าชอบมันมากเหลือเกิน เสียดายแค่เพียงไม่มีเหล้าอยู่ในเพลงนั้น มันยังไม่สมบูรณ์ มาดื่มอีกจอก

โม่บ่อกี้ ยืนขึ้นแล้วยกจอกดื่มจนหมด แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า "ถ้าจะเอาแบบนี้ งั้นข้าจะร้องเพลงอื่นให้ฟัง

วันวานจะผ่านไปเหมือนเช่นเดิม
ความสุขนั้นสำคัญเหนืออื่นใด
เหตุการณ์ผ่านไปไม่อาจหวนคืน
หลังจากลูกท้อเหี่ยวเฉาดอกไม้ย่อมผลิบาน
ชีวิตมักต้องเผชิญลมแรงและสายฝนพรำ
หยาดฝนมิอาจหยุดยั้งเราจากการดื่ม
ไม่ว่าเราจะเสียใจหรือไม่ เราก็ค่อยๆคิดไป
นี่คือช่วงเวลาแห่งมิตรสหาย จอกเหล้าจอกนี้เลอค่าที่สุด
มีจอกในมือเต็มที่สุราเต็มปรี่และร้องเพลงดัง ๆ
เพื่อนที่ดีเพื่อนที่เยี่ยมเราจะมีความสุขมากในคืนนี้
ขอบอกเลยว่าเราจะโอบกอดไหล่เพื่อนเอาไว้
ดวงตะวันจะทอแสงหลังพายุใหญ่ผ่านพ้น
ให้เราเงยหน้าขึ้นและเรียนรู้ที่จะเข้มแข็ง
เพื่อนก็คล้ายกับจอกเหล้านี้ที่อุ่นหัวใจข้า
ข้าไม่กังวลต่อสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
วันนี้เราได้มาพบกัน
ความรู้สึกความผูกพันเต็มปริ่มอยู่ในจอกเหล้า
เดือนปีผ่านไปดั่งสายน้ำ
ใครสนใจว่าเขาเป็นใครในวันวาน
... [2] "

โม่บ่อกี้ ร้องเพลงจนเสียงแหบแห้ง ทว่าเสียงแหบห้าวนี้ทำให้  เหวินหม่านซู่ ต้องตกตะลึง แม้นางจะรู้สึกพิเศษกับเพลงก่อนหน้านี้ คำร้องทุกๆคำหวดกระหน่ำลงบนหัวใจนาง จนโลหิตในหัวใจของนางเดือดพล่าน และบังคับให้เธอเข้าไปดื่มกับพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุม นี่คือความรู้สึกที่เรียกว่ามิตรภาพหรือ นางเองก็มีเพื่อนของนางเช่นกัน องค์ชายที่เก้าแห่งเฉิงตู ซือถูโพ  ลูกชายของแม่ทัพจ้าวเฟยหู่แห่งเฉิงตู จ้าวพู ลูกชายของเสนาบดีเหยาคัง เหยาผิงเฉิง นอกจากนี้ยังมีคนหน้าซื่อใจคดอย่างจ้าวซู่ ... [3]

ไม่มีสักคนไหมที่ไม่หล่อเหลา แต่หาไม่ได้สักคนที่จะให้ความรู้สึกเหมือนวีรบุรุษ แต่นางกลับไม่เคยรู้สึกว่าเลือดในกายเดือดพล่านเช่นนี้เมื่อนางอยู่กับพวกนั้น ถ้า ซือถูโพ ไม่สนใจเรื่อง พลังทานตะวัน ของโม่บ่อกี้ เขาจะยอมให้นางคุยกับ โม่บ่อกี้ หรือไม่

          "เยี่ยม ... เยี่ยม ... น้องโม่ข้าชอบเพลงนี้ ... มีจอกที่เต็มไปดด้วยเหล้าและร้องเพลงดังๆ เพื่อนที่ดี เพื่อนที่เยี่ยม เราจะมีความสุขมาก ๆ คืนนี้ ... " หยวนเสิ่นยี เข้ามาร้องเพลงกับ โม่บ่อกี้เสียงดัง

ติงบู้เอ้อ และ น้าสิบเอ็ด ก็ร่วมด้วย

เหวินหม่านซู่ ยืนอยู่นอกกระโจมเป็นเวลานาน และในที่สุดก็สลัดความคิดที่จะเข้าไปในกระโจมออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องราวในวันนี้ นางคงไม่มีวันรู้เลยว่า โม่บ่อกี้ มีความสามารถมากมายเพียงไหน แค่การร้องเพลงเล่นๆเพียงแค่สองเพลง เขาสามารถทำให้เลือดในตัวของนางเดือดพล่านและทำให้นางคล้อยตามร่วมร้องเพลงไปด้วยได้


นางเดินออกมาไกลจนไม่ได้ยินเสียงเพลงอีก เหวินหม่านซู่ ค่อยๆก้มหน้าลง นางรู้ดี มันไม่ได้สำคัญว่า โม่บ่อกี้ ร้องเพลงได้ยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญคือทั้งสองอยุ่ในโลกที่แตกต่างกันมากจนเกินไป

          ถ้าเพียง โม่บ่อกี้ มีรากฐานทางจิตวิญญาณนางก็จะคิดหาวิธีที่จะช่วยเหลือเขา แต่น่าเสียดายที่ โม่บ่อกี้ มีรากมนุษย์เท่านั้น หลังจากที่นางเข้าไปในนิกายและเริ่มฝึกฝนระยะห่างระหว่างพวกเขาก็จะกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ



ถ้าวันหน้าข้าประสบความสำเร็จในการฝึกฝนของข้าและถ้าเราจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งข้าจะมอบสมบัติมหาศาลให้เขา ข้ายังช่วยให้เขาบรรลุความฝันของเขาในการช่วงชิงราชวงศ์ฉินทางตอนเหนือได้ด้วยนางพึมพำขณะที่เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมดูเหมือนนางพบเหตุผลที่จะไปจาก โม่บ่อกี้ ได้แล้วจริงๆ


[1] เพลงนี้เรียกว่า谊之光 คุณสามารถฟังได้ที่นี่: https://www.youtube.com/watch?v=Xklq9C79f9A
[2] เพลงนี้เรียกว่า朋友的酒 คุณสามารถฟังได้ที่นี่: https://www.youtube.com/watch?v=3QAIm49rC2k
[3] ย้อนกลับไป เมื่อ โม่บ่อกี้ อยู่ใน สมาพันธ์แรงงาน


2 ความคิดเห็น:

  1. ไปฟังแล้วค่ะ ฟังไม่รู้เรื่องนะ แต่ขอบอกว่า เพลงที่สอง https://www.youtube.com/watch?v=3QAIm49rC2k สนุก และเพราะมากเลย ชอบ ๆ
    ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ
  2. แปลดี​ขึ้น​มากเลยครับ​

    ตอบลบ