วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 32: อคตินานับประการ


                                    Immortal  จอมราชันย์อัมตะ
ผู้แต่ง: Goose Five  ผู้แปล : ไก่ในตำนาน เเละ เเมวนอ้วน

ฝากคอมเมนให้กำลังใจ ด้วยครับ จะพยายามๆแปลเเละลงให้ทุกวันครับ
ชวนเพื่อนๆมาเข้ากันเยอะๆนะครับจะมีโปรโมชั่นให้อ่านรัวๆกันไปเลย
โปรตอนนี้ คือ หากมียอดเข้ากลุ่มถึง 200 คนภายในวันนั้น จะ อัพเพิ่ม สองตอน ไม่รวมลงประจำวัน เป็น สามตอนครับ เดียวจะมีโปรโม่ชั่นดีๆ แบบนี้ให้ได้อ่านกันเรื่อยๆครับ  

นี้กลุ่มเฟสครับถึงตอนไวกว่าประมาณ สาม ตอนครับ




ตอนนี้ค่อยข้างแปลยากเลยลงช้านิดนึงครับ


บทที่ 32: อคตินานับประการ
ไก่ในตำนานและแมวอ้วน แปล


ข้างกาย เหวินหม่านซู่ ยืนไว้ด้วยชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง เมื่อพวกเขายืนอยู่คู่กัน ช่างดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ดูแล้วเขาคงไม่ใช่คนงานของ เหวินหม่านซู่ อย่างแน่นอน

"นี่คือองค์ชายเก้า แห่งเฉิงตู ซือถูโพ เราเดินทางมาด้วยกัน"

แสดงว่าเขาคือลูกชายของ ตาเฒ่าซือถูเชียน จากความสัมพันธ์ของ โม่บ่อกี้ กับ ซือถูเชียน ทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับ ซือถูโพ

ซือถูโพ ยกมือขึ้นตั้งท่าคารวะทักทาย โม่บ่อกี้ อย่างดงาม โม่ "ข้าได้ยินชื่อนักปรุงยาโม่ มาเนิ่นนาน เมื่อข้าได้พบตัวจริง ถึงได้รู้ว่าที่แท้ท่านเป็นดั่งมังกรหรือพญาหงส์ในหมู่มนุษย์"





          พวกเขาเป็นศัตรูกัน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องนอบน้อม นอกจากนี้การที่เขาเห็น เหวินหม่านซู่ กับ ซือถูโพ ยืนคู่กันเหมือน โรมิโอกับจูเลียต ยิ่งทำให้ โม่บ่อกี้ อารมณ์ไม่ดี
            องค์ชายที่เก้าเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประตูอมตะ เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินว่า โม่บ่อกี้ คุ้นเคยกับปรมาจารย์ด้านพลังปราณและเขาถึงกับลืมเรื่องแย่ๆของเขาก่อนหน้านี้ไป เขาไม่ได้สงสัยในคำพูดของ โม่บ่อกี้ เลย เพราะปู่ของโม่บ่อกี้ โม่เทียนเฉิง เป็นนักเพาะปลูกที่มีพลังอย่างมาก มันเป็นเรื่องธรรมดาที่โม่บ่อกี้ จะได้รู้จักเรื่องเหล่านี้



โม่บ่อกี้ หัวเราะ "องค์ชายเก้า ข้าคิดว่าท่านคงพูดผิดไปแล้วซือถูโพ ชะงักเล็กน้อย ตามปกคิเมื่อคนระดับองค์ชายเป็นฝ่ายทักทาย โม่บ่อกี้  โม่บ่อกี้สมควรจะรีบตอบกลับด้วยความสุภาพ อย่างน้อยที่สุด โม่บ่อกี้ ก็ไม่ควรพูดจาเช่นนี้
"โอ้ไม่ทราบว่าการที่ข้าเรียกท่านว่า นักปรุงยาโม่ นั้นจะมีที่ความผิดพลาดในที่ใด" ซือถูโพ ยังคงใช้คำพูดที่สุภาพอ่อนน้อมพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยนต่อ โม่บ่อกี้
เหวินม่านซู่ รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของ โม่บ่อกี้ นางไม่เข้าใจว่าทำไม โม่บ่อกี้ จึง ตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องกับองค์ชายเก้า

โม่บ่อกี้ หัวเราะในใจคนอื่นอาจจะนอบน้อมต่อ ซือถูเชียน แต่ในสายตาของ โม่บ่อกี้ ซือถูเชียน เป็นศัตรูที่เขาต้องจัดการ เพราะ โม่บ่อกี้มั่นใจว่า ซือถูเชียน มีส่วนกับเรื่องราวการล่มสลายของตระกูลโม่

"เรียนองค์ชายเก้า ... ประการแรกข้าไม่ใช่นักปรุงยา ทุกคนรู้ดีว่า ยาเก้าชีพคืนชีวิต เป็นสิ่งที่ข้ารับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ การที่ท่านทำเหมือนยกย่องข้าในเรื่องนี้แท้จริงแล้วกลับเป็นการเยาะเย้ยข้าเท่านั้น ข้าประการที่สอง ข้าเป็นบุรุษดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรเรียกหาข้าว่า หงษ์ ประการที่สามนั้น เชื้อพระวงศ์และองค์กษัตริย์สามารถเรียกเป็น มังกร ได้แต่ถ้าเรียกหาข้าเป็นมังกรแล้ว ข้าจะต้องเป็น อ๋องแห่งเฉิงตู คำพูดของท่านค่อนข้างอุกอาจหรือไม่? ข้าไม่เชื่อว่าท่านต้องการให้ข้ากลายเป็นอ๋องแห่งเฉิงตู"

โม่บ่อกี้เพิ่งจะพูดในสิ่งที่ ซือถูโพ คิดออกมา และ ซือถูโพเองก็ลืมไปจริงๆที่ใช้คำว่า หงษ์ กับ โม่บ่อกี้ เหวินหม่านซู่ กัดริมฝีปากของนางแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา นางไม่ได้ชี้แจงข้อบกพร่องในคำพูดของโม่บ่อกี้ ขณะเดียวกันสีหน้าของ ซือถูโพ เปลี่ยนเป็นปั้นยาก  เพราะกำลังสงสัยว่าทำไมพระบิดาจึงไม่ได้ฆ่าเจ้าคนเลวคนนี้ น่าเสียนดายที่เขาทำได้แค่คิดแต่ลงมือฆ่า โม่บ่อกี้ไม่ได้

"โอ้ จริงด้วย ….จะว่าไปองค์ชายเก้าท่านก็หน้าคล้ายๆใครสักคนที่ข้ารู้จักนะ"

          เมื่อโม่บ่อกี้เห็นใบหน้าที่สง่างามของ ซือถูโพก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นปั้นยาก ในใจเขาก็รู้สึกมีความสุขมากและเขาอดที่จะยิ้มไม่ได้ ซือถูโพ ขมวดคิ้วอย่างรุนเเรงจึงหมุนตัวออกไปก่อนที่ โม่บ่อกี้จะทันพูดอะไร  เขาไม่คิดว่าโม่บ่อกี้ จะสามารถพูดเช่นนี้ได้ เหวินหม่านซู่  ก็ขมวดคิ้วด้วยเช่นกันนางรู้สึกได้ว่า โม่บ่อกี้ นั้นต่างจากที่นางเคยรู้จักมาก

โม่บ่อกี้ หัวเราะแล้วพูดว่เขามีฉายาว่า สุภาพบุรุษจอมปลอม ที่เขาได้ฉายานี้มา เพราะเขาชอบทำตัวเหมือนสุภาพบุรุษ แต่แท้จริงกลับเป็นคนกลับกลอกหลอกลวงเเต่เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในพลังปราณที่เก่งกาจมาก ”  

องค์ชายเก้ากำลังจะเดินจากไป แต่กลับหยุดลงเพราะคำพูดของ โม่บ่อกี้ เเล้วพูดว่า”  นักปรุงยาโม่ เจ้ารู้เรื่องผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวจริงๆหรือ นอกจากนี้วิชาอมตะคือพลังปราณหรือไม่  หรือมันคือวิทยายุทธที่น่าอับอายอย่างนั้นหรือ
โม่บ่อกี้ ถอนหายใจและพูดว่า "สุภาพบุรุษจอมปลอม " มีนามว่า เย่ ปู้ฉิน ตอนที่ข้าเห็นองค์ชายเก้า ข้ารู้สึกว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างท่านทั้งสองคน ข้านั้นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความลับของ พลังปราณหรอก แต่ข้ารู้ว่าสุภาพบุรุษจอมปลอมเป็นนักเพาะปลูกที่ทรงพลังมากหลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากในศาสตร์แห่ง พลัง  เขาได้เผาทำลายรากฐานของเขาไป เพื่อฝึกฝนวิทยายุทธใหม่ น่าเสียดายที่ข้ามิกล้าพอที่จะทำตามเขา 

ซือถูโพ ลดท่าทีลงและพูดกับโม่บ่อกี้ว่า "ช่วยบอกชื่อวิชานั้นกับข้าได้หรือไม่" "องค์ชายเก้าช่างน่าตกใจจริงๆ ข้ายังไม่ได้พูดอะไร แต่ท่านสามารถคาดเดาได้ว่าสุภาพบุรุษจอมปลอมได้พัฒนาวิชาที่ทรงคุณค่ามาก  แล้วเรียกว่าเคล็ดวิชานั้นว่า วิชาทานตะวัน   เเต่น่าเสียดายสุภาพบุรุษจอมปลอมไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่เขาคง จะมอบวิชาดอกทานตะวันให้แก่องค์ชายที่เก้าเป็นเเน่..เพราะ ... "
เมื่อมาถึงจุดนี้ โม่บ่อกี้ ก็หยุดชั่วคราว

ไม่ใช่แค่องค์ชายเก้า แต่แม้กระทั่ง เหวินหม่านซู่ ก็กลั้นลมหายใจของนางและมองไปที่ โม่บ่อกี้ อย่างใจจดใจจ่อ   เพราะอยากรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไรต่อไป หลังจากนั้นไม่กี่วินาที โม่บ่อกี้ ก็กล่าวต่อว่า "เพราะท่านทั้งสองคนประเภทเดียวกัน ... สิ่งที่น่าเสียดายน่าเสียดายที่ข้าไม่สนใจในการเรียนรู้วิชาดังกล่าวมากนัก  มันมีคำพูด 8 คำในตำราของเขา แต่ ข้าจำได้แค่หกคำเท่านั้น แต่ข้าก็ไม่รู้สึกเสียใจใด ๆ เพราะข้าเป็นแค่มนุษย์ที่มีรากฐานจิตวิญญาณมนุษย์สามัญเท่านั้นวิชาอันมีค่านี้ ไม่เหมาะสมสำหรับมนุษย์เช่นข้า ข้ามีอารมณ์และความปรารถนามากมาย ข้าจะเป็นผู้เพาะปลูกและแยกตัวออกจากชีวิตมรรตัยได้อย่างไร ... "
"หกคำ คำว่าอะไร ... " ซือถูโพ โพล่งออกมา

โม่บ่อกี้ มองไปที่ ซือถูโพ เขม็งและกล่าวว่า "ฝึกวิชาต้องตั้งใจ ... ข้าจำได้แค่หกคำเท่านั้น นี่คือทั้งหมดที่ข้ารู้ ขอตัวก่อน"     

โม่บ่อกี้ หันไปหา เหวินหม่านซู่ และพูดว่า "เเม่นางเหวิน ข้าข้าไม่มีอะไรจะคุยอีกแล้ว ข้ารู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ข้างๆเจ้า ลาก่อน"

เมื่อเห็นใบหน้าที่เลือนหายไปของ โม่บ่อกี้ ใบหน้าของ ซือถูโพ แสดงอารมณ์ต่างๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็บอกกับ เหวินหม่านซู่ ว่า "น้องหม่านซู่ ไม่ต้องเป็นห่วงเขา เขาไม่ได้รู้สึกหดหู่ใจแม้จะมีรากฐานของมนุษย์ ครั้งแรกที่ข้ารู้ว่ารากฐานทางจิตวิญญาณของข้าไม่ได้อยู่ในระดับชั้นสูง ข้าเสียดายมากบางที เจ้าควรจะไปคุยกับเขาต่อจริงๆ พวกเจ้าทั้งสองเป็นสหายเก่ากัน ข้าจะไปที่โรงแรมก่อน "


"บ่อกี้ ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วนัก?" เมื่อเห็นการกลับมาของโม่บ่อกี้ ติงบู่เอ้อ ยิ้มถาม

"มีเรื่องให้คุยกันไม่มากหรอกพื้นฐานของพวกเรามันแตกต่างกัน" โม่บ่อกี้ตอบเบาๆแล้วเริ่มช่วยสร้างกระโจม มีคนมากเกินไปที่จะมุ่งหน้าไปที่ ฉางลู่ มีผู้เข้าร่วมประชุมอีกหลายคนเข้าพักที่กระโจมริมหาด
"พี่ชายข้าชอบคำพูดของเจ้า!" เสียงที่ฟังดูน่าฟัง มันเป็นของชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่มีหนวดเคราขนาดใหญ่ที่ปกคลุมใบหน้าของเขา ข้างหลังเขาเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์

หาก เหวินหม่านซู่ เป็นแอปเปิ้ลเขียวที่สุกแล้วหญิงสาวคนนี้คือแอปเปิ้ลสีแดงที่สุกและน่าสนใจ ถ้าไม่ใช่เพราะฝุ่นบนเสื้อผ้าของนาง นางดูน่าจะเป็นคนชั้นสูง

ชายเคราดกคารวะ โม่บ่อกี้แล้วพูดว่า "ข้าชื่อ ยวนเสินยี นี่คือสหายของข้า น้าสิบเอ็ด คำพูดของเจ้านี่ล้ำลึกจริงๆ ข้ามีเหล้าดีอยู่ ถ้าเจ้าจะไม่รังเกียจ เรามาแบ่งกันคนละถ้วยนะ"  

โม่บ่อกี้ หัวเราะ "แน่นอนข้าไม่รังเกียจหรอกข้าชื่อ โม่บ่อกี้ และสหายของข้าคนนี้คือ ติงบู้เอ้อ พวกเราตั้งกระโจมเสร็จแล้วเข้ามาสิ"

/////////////////////////////////////////////////////////

ไก่ในตำนาน : รู้ไหมอะไรเป็นตัวการทำให้โลกร้อน
แมวอ้วน : คนไง คนตัดต้นไม้เยอะโลกเลยร้อน คนเป็นตัวการ
ไก่ในตำนาน : ผิด! หมีต่างหากละที่เป็นตัวการ
แมวอ้วน : ทำไมเป็นหมีอ่ะ
ไก่ในตำนาน : เพราะว่าหมีคั่วโลก โลกเลยร้อน  แฮร่!!

ตึ้งโป๊ะ!


2 ความคิดเห็น:

  1. อ้า........ และแล้วก็มีคนมาเฉลยซะทีว่า
    ทำไมโลกมันร้อนตับแลบแบบนี้ 555555
    เพราะ ท่านไก่ในตำนานบอกว่า เพราะหมีมันคั่วโลกกกกก
    ชอบ ๆ ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณครับ ฮ่าๆๆ

      ลบ