บทที่ 34: สร้างตลาดริมทะเล
ไก่ในตำนานและ แมวอ้วน แปล
เมื่อโมอูจิตื่นขึ้นมา
หยวนเสิ่นยี และน้าสิบเอ็ด ก็ไม่ได้อยุ่ที่นั่นอีก เหลือเพียง ติงบู้เอ้อ
ที่นอนอยุ่กับเขาในกระโจม
แม้จะดื่มทั้งคืน
โม่บ่อกี้ กลับไม่รู้สึกหิวโหย แต่ร่างกายของเขารู้สึกผ่อนคลายมาก
อย่างเห็นได้ชัดว่าเหล้าของ หยวนเสิ่นยี นั้นมีสรรพคุณดีจริงๆ
ดูเหมือนว่าความกดดันและความคับข้องใจทั้งหมดที่สะสมมาเป็นเวลานานจะถูกปลดปล่อยไป
โม่บ่อกี้ รู้สึกขอบคุณ หยวนเสิ้นยี และ น้าสิบเอ็ด เป็นอย่างมาก
ทั้งสองคนเป็นคนที่เขาสนิทสนมอย่างรวดเร็ว
โม่บ่อกี้
เปิดกระเป๋าออกดูเปิดกระเป๋า ยาเปิดชีพจรยังอยู่ครบ
โม่บ่อกี้
รู้สึกว่าได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มและฟื้นฟูที่สุด
เขาจึงลุกขึ้นแล้วหยิบขวดยาเปิดชีพจรขึ้นดื่มขวดหนึ่ง หลังจากเปิดชีพจรครั้งแรกแล้วเขาไม่กล้าเปิดจุดชีพจรที่สองอีก
เนื่องจากสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ของเขา
แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาได้รับการพัผก่อนอย่างเต็มที่
และสภาพร่างกายในปัจจุบ้นนี้อยู่ในสภาพยอดเยี่ยม
นี่คือเวลาที่ดีที่สุดในการดื่มยาเปิดจุดชีพจร
เขารู้สึกถึงกระแสไฟที่วิ่งอยู่ในตัวเขา
และสัมผัสถึงเส้นชีพจรที่สองที่ขยายกว้างขึ้น
โม่บ่อกี้กำหมัดแล้วพยายามผ่อนคลายตัวเองให้มากที่สุด
หากผลของยานี้ยังใช้ได้ผล เขาจะต้องกลายเป็นอัฉริยะ เป็นเเน่?
แต่น่าเสียดายหลังจากสองชั่วโมงผ่านไปเเล้ว
ฤทธิ์ยาก็หายไป มันเป็นเช่นเดียวกับที่เขาพยายามจะเปิดจุดชีพจรครั้งแรกทำให้จุดชีพจรที่สองของเขาอุดตัน
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้โม่บ่อกี้
ยังคงสงบจิตใจได้มากขึ้น
เห็นได้ชัดว่ายาเปิดช่องทางเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะเปิดจุดชีพจรได้
สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือการหาทะเลสาบฟ้าผ่าและใช้ฟ้าผ่าเพื่อเปิดจุดชีพจรที่สองของเขา
วิธีนี้อาจที่โหดร้ายกับตัวเองไปบ้าง
แต่อย่างน้อยก็ได้ผลดี
โม่บ่อกี้
ไม่ได้ตั้งใจที่จะโดนฟ้าผ่า สายฟ้าฟาดนี้อาจกระทบเขาให้ตายได้โดยตรง ถ้าเพียง
แต่เขามีตำราหรือเทคนิคการเพาะปลูกแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ร่างกายของเขาเจ็บปวดเพียงเพื่อเปิดจุดชีพจร
"บ่อกี้ เจ้าลุกขึ้นและล้างหน้าเถอะเราจะไปที่
ตลาดนัด กัน" ติงบู้เอ้อวิ่งด้วยความตื่นเต้นเข้ามา
ตลาดนัดรึ? โม่บ่อกี้ถามอย่างงง ๆ
ติงบู้เอ้อ
หัวเราะและพูดว่า "ฮ่าฮะเจ้าคงไม่รู้เรื่องนี้ ข้ารู้แค่ว่าพี่ชายของ เสิ่นยี จะพาข้าไปที่นั่น ตลาดนัด
มันเป็นตลาดที่ผู้คนจำนวนมากที่เดินทางมาจากทั่วหล้า มาชุมนุมกันที่นี่เพื่อไปที่ เฉิงลู่
มีคนมากมายอยากจะซื้อของในขณะที่อีกหลายคนก็อยากที่จะขายสินค้า
ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งร้านค้าชั่วคราวนี้ไว้ที่ ตลาดนัด เมื่อเรือไปถึง ฉางลู่
หมดเเล้วเมื่อนั้นตลาดก็จะวาย*ไปเอง"
"ข้าอยากจะเห็นมันจริงๆ แล้วข้าจะไปล้างหน้าได้ที่ไหนล่ะ" โม่บ่อกี้ พูดเร็วปรื๋อ ตลาดนี้จะทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาสู่โลกกว้าง คนที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เพาะปลูก การเยี่ยมชมตลาดนี้จะช่วยให้เขาเข้าใจการเพาะปลูกได้ดีขึ้น
"ข้าอยากจะเห็นมันจริงๆ แล้วข้าจะไปล้างหน้าได้ที่ไหนล่ะ" โม่บ่อกี้ พูดเร็วปรื๋อ ตลาดนี้จะทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาสู่โลกกว้าง คนที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เพาะปลูก การเยี่ยมชมตลาดนี้จะช่วยให้เขาเข้าใจการเพาะปลูกได้ดีขึ้น
ติงบู้เอ้อ
ชี้ไปที่ทะเล "เอาตรงนั้นก็ได้"
โม่บ่อกี้
ได้แต่งงกับคำพูดของ ติงบู้เอ้อ
"น้ำทะเลมันเค็มนะ
เจ้าจะให้ข้าล้างหน้าที่นั่นเรอะ”
ติงบู้เอ้อ
หัวเราะ "ใครบอกล่ะว่าน้ำทะเลจะต้องเค็ม
ที่นี่เป็นทะเลน้ำจืด ไม่เห็นคนเยอะแยะมาอาบน้ำกันเหรอ"
ทะเลน้ำจืด
ที่โลกเดิมของ โม่บ่อกี้ นั้นไม่เคยมีทะเลน้ำจืดเกิดขึ้นมาก่อน อย่างน้อย
โม่บ่อกี้ ก็ไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้
นั่นเพราะจักรวาลมีมากมายและมีดาวเคราะห์หลายดวง มีหลายสิ่งที่เขาไม่รู้
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมาโม่บ่อกี้
และ ติงบู้เอ้อ ก็ไปถึงตลาดนัด
พวกเขามองไปรอบๆ
มีผู้คนขวักไขว่ไปมาหนาเเน่นมากมาย ได้ยินเสียงตะโกนขายสินค้าเสียงดัง
มันเป็นฉากที่มีชีวิตชีวาจริงๆ
“บ่อกี้ เจ้าเห็นนั่นไหม ยาอายุวัฒนะ หายากนั้น
ต้องยอมรับว่ายาชั้นเลิศเยี่ยงนี้ แน่นอนว่าต้องมีราคาที่สูงอุกอาจมาก
ราคาถูกที่สุดต้องจ่ายหลายร้อยเหรียญทองและราคาระดับกลางต้องจ่ายอย่างน้อยหมื่นเหรียญทอง
ข้าเห็นแม้แต่ผลไม้เบิกเนตรนั้น วางขายอยู่ราคาห้าแสนเหรียญทอง ...
ตรงนั้นทุกคนกำลังรวมตัวกันอยู่ข้าคิดว่ามันยังไม่ได้ถูกขายออกไป " ติงบู้เอ้อชี้ไปที่กลุ่มที่อยู่ไม่ไกล
"ลองไปดูกันเถอะ" โม่บ่อกี้
รีบเดินไป
โม่บ่อกี้
และ ติงบู้เอ้อ เข้าไปในกลุ่มคนและเห็นชายคนหนึ่งที่มองมาอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร
ด้านหน้าของเขาเป็นหินขนาดใหญ่ บนแผ่นหินนั้นมีขวดแก้วใสและโปร่งแสง
ในขวดแก้วนั้นเป็นผลไม้ขนาดของกำปั้นของทารก
ผลไม้ก็ใส
ในความเป็นจริง โม่บ่อกี้
จะคิดว่ามันเป็นคริสตัลถ้าหากว่าเขาไม่เห็นใบที่กำลังเติบโต
โธ่ เพื่อนข้าราคา ห้าแสน เหรียญทองของเจ้ามันก็แพงเกินไป ข้าว่าสัก สองแสน เหรียญทองก็แล้วกันนะ ข้าให้เหรียญทองได้มากที่สุดก็เท่านี้เอง
โธ่ เพื่อนข้าราคา ห้าแสน เหรียญทองของเจ้ามันก็แพงเกินไป ข้าว่าสัก สองแสน เหรียญทองก็แล้วกันนะ ข้าให้เหรียญทองได้มากที่สุดก็เท่านี้เอง
เจ้าของผลไม้ผลึกแก้วใส
ไม่พูดอะไรเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินข้อเสนอใดๆ
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรล่ะ" ชายที่ต่อรองพูดด้วยน้ำเสียงหนักๆ
เจ้าของร้านใช้สายตาที่เฉยเมยมองไปที่ผู้ต่อราคาแล้วพูดว่า "เจ้าใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงเพื่อยกข้อเสนอของเจ้าจาก
หนึ่งแสนห้าหมื่นเหรียญทอง ไปเป็นสองแสนเหรียญทอง
เจ้าจะใช้เวลามากกว่านี้เพื่อเพิ่มราคาของเจ้า ไม่ต้องมาบอกให้ข้าพูดอะไร
เพราะข้าจะไม่ยอมขายต่ำกว่าห้าแสน"
ย้อนกลับไปที่โรงกลั่นยาด่านฮั่น
โม่บ่อกี้ อ่านหนังสือจำนวนมากและอาจเรียกได้ว่า ค่อนข้างมีความรู้
อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยเห็น ผลไม้แก้วผลึก มาก่อน
"ผลไม้แก้วผลึก สามารถนำไปกลั่นทำ น้ำยาแก้วผลึก
และแม้แต่ตัวมันเองก็เรียกว่าเม็ดยาแก้วผลึก มีราคาเพียง ห้าแสน เหรียญทองเท่านั้น
การรับประทานผลนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสายตาได้
แต่ก็มีผลกระทบเป็นอย่างมาก ประสิทธิผลก็ต่ำกว่ายา สหายเอ๋อ
เจ้าต้องเรียนรู้และจดจำเนื้อหาให้ดี"
“ข้ารู้มาว่าการรับประทานผลไม้นี้จะทำให้มองในระยะ 100 เมตรได้อย่างชัดเจนแม้กระทั่งในคืนที่มืดมิดไร้แสงจันทร์” ติงบู้เอ้อ กระซิบกระซาบอุ่ข้างหูของ โม่บ่อกี้
โม่บ่อกี้
สูดหายใจลึกๆ ประสิทธิผลของผลไม้นี้ยอดเยี่ยมมาก? และผลไม้นี้มีมูลค่ามากกว่า
ห้าแสนเหรียญทองแน่นอน ถ้าเขามีเหรียญทองถึงห้าแสน
เขาจะไม่ยอมเสียเวลาต่อราคาและซื้อมันทันทีแน่นอน
โม่บ่อกี้
นึกขึ้นมาได้ว่าเขายังมีส่วนผสมทางจิตวิญญาณอื่นอยู่ด้วย หญ้าอัคคีสองใบ
ก่อนหน้านี้เขาให้ฮันหนิงเพียงสองต้นเท่านั้นดังนั้น
เขายังเก็บไว้กับตัวอีกต้นหนึ่ง
อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ถึงประสิทธิภาพของหญ้าอัคคีสองใบและไม่ทราบว่ามันจะมีคุณค่าเท่า ผลผลึกแก้ว หรือไม่
อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ถึงประสิทธิภาพของหญ้าอัคคีสองใบและไม่ทราบว่ามันจะมีคุณค่าเท่า ผลผลึกแก้ว หรือไม่
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
... ผลไม้ที่ทรงคุณค่าปานนี้ ทำไมคนที่ดูไม่เป็นมิตรเช่นนี้ ถึงเต็มใจที่จะขายมัน? อีกทั้งเขายังขายมันก่อนที่จะถึงเมืองหลวง
มิเช่นนั้นเขาจะขายมันได้ในราคาที่สูงกว่านี้
คนส่วนใหญ่ที่นี่เป็นเพียงแค่คนงานภายในบ้าน จึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขา ที่จะหาคนที่มีเงินมากพอที่จะซื้อผลไม้แก้วผลึกนี้
"เชื่อเถอะว่าข้าอยากได้ผลไม้นี้จริงๆ
แต่ข้าไม่ได้มีเหรียญทองมากมายขนาดนั้น ... " เสียงหนึ่งกังมาแต่ไกล
รู้สึกราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นกดดันให้
โม่บ่อกี้ และ ติงบู้เอ้อ ถูกผลักไปทางด้านข้าง ผู้คนถูแหวกออกเป็นทางด้วยพลังที่มองไม่เห็น
และตามมาด้วยคนผู้หนึ่งที่สะพายดาบบนหลัง มีดาบเล็กๆ สีทองปักไว้ที่มุมเสื้อ
"ท่านเซียนท่านนี้จากประตูดาบโบราณอย่างนั้นรึ" คนที่ดูไม่เป็นมิตรนั้นเพ่งมองดู
และถามออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น
ชายที่สะพายดาบบนหลังพยักหน้า "ถูกต้องข้าคือ เฟ่ย ไขว่จาง จากประตูดาบโบราณ"
หลังจากได้ยินคำพูดนั้น
ชายที่ดูไม่เป็นมิตรนั่น ก็รีบส่งขวดแก้วไปให้ชายที่สะพายดาบคนนั้น
เสียงของเขาสั่นเทาแล้วรีบพูดว่า
"ข้ามีชื่อเล่นว่า ยันอัน
ข้านั้นชื่นชมประตูดาบโบราณมาเป็นเวลานานแล้ว และข้าต้องการที่จะมอบผลผลึกแก้วนี้
ให้กับผู้อาวุโสเฟย ข้าหวังเพียงแค่ ... "
เฟยไขว่จาง
จึงยกมือขึ้นขัดจังหวะคำพูดของ ยันอัน แล้วพูด ว่า "เมื่อเราไปถึง
เฉิงลู่ ข้าก็สามารถหาเหรียญทองมาให้ได้
แต่ว่าข้าไม่มีความสามารถมาพอที่จะพาเจ้าเข้าประตูดาบโบราณได้หรอก"
เห็นได้ชัดว่าเขารู้ความตั้งใจของ
ยันอัน และหยุดเขาไว้ล่วงหน้า
"ผู้น้อยไม่ได้ต้องการที่จะเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ
ข้าขอเพียงเป็นแค่ศิษย์ฆารวาสหรือแม้แต่ศิษย์รับใช้ในประตูดาบโบราณก็ได้"
โม่บ่อกี้
จึงเข้าใจได้ในที่สุด ชายผู้นี้ไม่ได้ต้องการที่จะขายผลแก้วผลึก แต่เขาเพียงต้องการใช้เป็นโอกาสในการเข้าสู่นิกาย
บางทีเขาอาจรู้ว่ารากฐานวิญญาณของเขาอาจไม่ดีพอที่จะทำให้เขากลายเป็นศิษย์ของนิกาย
ในงานประตูอมตะใบไม้ผลิ
สิ่งที่คนผู้นี้ต้องการฉวยโอกาส
แม้ว่าจะไม่ใช่สาวกจาก ประตูดาบโบราณ
แต่เป็นศิษย์จากนิกายอื่นเขาก็จะพูดแบบนี้เหมือนกัน
นั่นคือเหตุผลของการตั้งราคาขายที่ผิดปกติถึง
ห้าแสนเหรียญและไม่ยอมต่อรอง
เฟยไขว่จาง
พยักหน้าและล้วงเอาแผ่นโลหะประดับไม้แผ่นหนึ่งส่งให้กับ ยันอัน" นี่เป็นป้ายส่วนตัวของข้าเมื่อไปถึง ฉางอัน
เจ้าเข้าไปพบกับแผนกต้อนรับของ ประตูดาบโบราณ ได้โดยตรง"
"ครับ ท่านเซียน" ภายใต้สายตาอันชิงชังและริษยาของผู้คนโดนรอบ
ยันอัน รับแผ่นไม้แล้วเดินจากไป
*วาย
แปลว่า ค่อยๆหมดไป,ค่อยๆสิ้นไปตามกำหนดหรือตามอายุเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น