วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 67: การเข้าสู่นิกาย


บทที่ 67: การเข้าสู่นิกาย

เดอะแพนด้าทีม ไก่ในเตาอบ และ แมวร้อน แปล

"นางคือใคร.." ฉินเซียงหยูได้สังเกตเห็น ย่านเอ๋อ ที่อยู่บนหลังของ โม่บ่อกี้ ได้สักพักเเล้วหลังจากทักทายโม่บ่อกี้ เสร็จนางจึงถามเกี่ยวกับ ย่านเอ๋อ

โม่บ่อกี้ ตอบว่า"นางคือสมาชิกในครอบครัวคนเดียวของข้าร่างกายของนางอยู่ในสภาพไม่ดีนัก ดังนั้นข้าจึงนำนางมาพร้อมกับข้าด้วย"

ฉินเซียงยู่ พูดทันทีว่า"ไม่เป็นไรพวกศิษย์รับใช้หลายคนก็พาครอบครัวไปด้วยเช่นกันหลังจากนั้น บางทีสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาก็สามารถเข้าร่วมเป็นศิษย์รับใช้ได้ด้วยเช่นกัน"พวกเขาเดินช้าๆภายในที่ตั้งแคมป์

"ศิษย์น้องเล็ก ฉิน"

"ศิษย์น้อง ฉิน... "

ขณะที่ โม่บ่อกี้ เดินตามฉินเซียงหยูมีหลายๆคนทักทายนางตลอดทาง เห็นได้ชัดว่า ฉินเฉียงหยู่ นางค่อนข้างเป็นที่นิยมชมชอบของคนที่นี่

โม่บ่อกี้เดาได้ว่านอกเหนือจากเสน่ห์ที่น่าทึ่งของ ฉินเซียงหยูที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบนางเเล้ว อาจเป็นเพราะพี่ชายของนางอีกด้วย เขาไม่ได้เป็นคนที่มีสถานะต่ำต้อย

"พี่ชายของเจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่ข้าคิดว่าข้าควรจะขอบคุณเขา" โม่บ่อกี้ ถาม การที่เขาสามารถเข้าสู่ นิกายดาบไร้ลักษณ์ได้เนื่องมาจาก ฉินเฉิน ถ้า ฉินเฉินอยู่ที่นี่เขาควรแสดงความกตัญญูและขอบคุณต่อ ฉินเฉิน อย่างใจจริง

"เขาไปแล้ว  ข้าได้ยินมาว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นและเขาต้องการที่จะกอบโกยเวลาให้ได้มากที่สุดเพื่อฝึกฝน" ฉินเซียงหยู รีบอธิบาย

ในไม่ช้าทั้งสองก็มาถึงห้อง ห้องหนึ่งโม่บ่อกี้ เห็นป้ายที่เขียนว่า "ห้องลงทะเบียนศิษย์รับใช้" นี่อาจเป็นที่ที่เขาจะลงทะเบียนเพื่อเป็นศิษย์รับใช้

ฉินเซียงหยู กระซิบกับ โม่บ่อกี้ ว่า "คนที่ดูแลศิษย์รับใช้ทั้งหมดคือ ผู้ดูเเล อู๋ไค  ข้าได้บอกเขาเกี่ยวกับตัวเจ้าไปบ้างแล้วเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง"

ฉินเซียงหยู่ เคาะเบาๆที่ประตู ผ่านไปสักพักหนึ่งประตูที่ปิดดสนิทอยู่ก็เปิดในที่สุด เด็กสาวที่มีผมยุ่งเหยิงเดินออกมาเท้าของนางเซเล็กน้อยและใบหน้าของนางก็แต่งแต้มไปด้วยสีแดง

โม่บ่อกี้ ได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็รุ้ได้ทันที และเขารู้ว่าฉินเซียงหยูกับเขาได้ขัดจังหวะเวลาหาความสุขของ อู๋ไค ไปเสียแล้ว

อู๋ไคเป็นชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาที่ดุร้ายนัยน์ตาของเขาเหมือนรูเข็มและริมฝีปากของเขายื่นออกมา เขาดูน่าเกลียดมากเมื่อเขาเห็น โม่บ่อกี้ เดินเข้ามาท่าของเขา เริ่มเปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดกว่าเดิมและสายตาของเขาเผยถึงความรู้สึกไม่พอใจ
         
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นฉินเซียงหยู ท่าทีที่ไม่พอใจของเขา ก็หายไปในทันที และเขาหัวเราะแล้วพูดว่า
"ศิษย์น้องเล็กฉิน เจ้าตามหาข้า อยู่หรือ"

ฉินเซียงหยู ยิ้มและคำนับก่อนที่จะพูดว่า "ผู้ดูเเลอู๋คือเพื่อนของข้า โม่บ่อกี้ ในวันหน้าเขาจะทำงานภายใต้การดูแลของท่าน ข้าหวังว่าอาวุโสจะช่วยดูแลเขาเป้นอย่างดี"

อู๋ไค กระหยิ่มยิ้มย่องแล้วพูดว่า "แน่นอน แน่นอน ... แผนกอาหารกำลังขาดคนเขาไปทำงานที่นั่นได้เลย เขาจะได้กินอิ่น และมีชีวิตที่ดีถึงมันจะเป็นงานที่หนักอยุ่บ้างก็เถอะ"

โม่บ่อกี้ ขมวดคิ้ว เขาไม่ใช่คนตะกละเขาไม่ได้ต้องการที่จะกินของดีๆ แล้วถ้าเขาเป็นคนที่ดื่มกินจุมากจริงๆคนผู้นี้จะยอมให้เขาไปทำงานที่ครัวหรือ

ฉินเซียงหยู่ เข้าใจในตัว โม่บ่อกี้อยู่บ้างตามธรรมชาติของเขานางรู้ว่า โม่บ่อกี้ไม่ได้เข้าร่วมกับนิกาย ดาบไร้ลักษณ์เพื่อกินและดื่ม  โม่บ่อกี้ ยินดีที่จะเป็นศิษย์ที่นี้เพราะเขาต้องการที่จะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อการเพาะปลูก

จากประสบการณ์ที่เคยพักด้วยกันที่ห้องพักรวมบนเรือ โม่บ่อกี้ถามคำถามเกี่ยวกับการเพาะปลูกอยู่เสมอ จากนั้นนางก็คาดเดาความสนใจของเขาต่อการเพาะปลูก
"ผู้ดูเเลอู๋ไค มีตำแหน่งอื่นหรือไม่ อาจเป็นทำความสะอาดห้องโถงตำรา ... "

ฉินเซียงหยูยังไม่มีความเข้าใจที่ดีต่อฝ่ายรับใช้มากนัก แต่ว่า โม่บ่อกี้ต้องการรู้เรื่องการเพาะปลูกการทำความสะอาดโถงตำรา อาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเขา
อู๋ไค พูดอย่างอับอาย"ข้าเกรงว่ามันยากเกินไปตำเเหน่งนี้เต็มหมดแล้วและข้าก็ไม่สามารถเตะคนในนั้น ออกไปให้เขาได้"ถ้าไม่ใช่เพื่อพี่ชายของ ฉินเซียงหยู่ ฉินเฉิน ที่เป็นหนึ่งในสิบยอดอัฉริยะ ของนิกายดาบไร้ลักษณ์เขาจะไม่ให้ความสนใจกับนางเเม้เเต่น้อย ถ้าไม่มี ฉินเฉิน ศิษย์สายนอกอย่างนางคงไม่มีใครมองว่ามีตัวคน

โม่บ่อกี้ เข้าใจถึงความตั้งใจที่ของฉินเซียงหยู อย่างไรก็ตามเขาไม่เพียงต้องการที่จะเป็นศิษย์รับใช้เขาต้องการสิทธิพิเศษเพิ่มเติม โม่บ่อกี้ เห็นว่า อู๋ไค พูดไปลอยๆเท่านั้น เขาอาจจะไม่ช่วย โม่บ่อกี้ นอกจากนี้เมื่อพวกเขาเคาะประตูพวกเขาได้รบกวนเวลาหาความสุขของอู๋ไค

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ โม่บ่อกี้ พูดกับ ฉินเซียงหยู ว่า "ศิษย์พี่ฉินทำไมไม่กลับไปหาสิ่งที่ท่านกำลังทำก่อนหน้านี้ล่ะ  ข้าจะคุยกับ ผู้ดูเเลอู๋ เป็นการส่วนตัวเสียหน่อย"

ฉินเซียงหยู่ มองไปที่ โม่บ่อกี้ ด้วยความประหลาดใจ จากน้ำเสียงของ อู๋ไค นางก็พอเดาได้ว่า อู๋ไค ไม่ตั้งใจจะช่วยโม่บ่อกี้ ในความเป็นจริงนางก็จะหมดหนทาง ถ้า อู๋ไค ไม่ช่วยนางเเละนางเองก็สามารถเข้าสู่ นิกายดาบไร้ลักษณ์
ได้เพราะพี่ชายของนางไม่ใช่เพราะความสามารถของตัวเอง

โม่บ่อกี้ หัวเราะออกมาด้วยความหนาวเหน็บในหัวใจของเขา แต่ อู๋ไค ยังคงให้ความสำคัญกับฉินเซียงหยู และพูดว่า "ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องกังวล ในวันหน้าเขาจะเป็นหนึ่งในคนของข้าแน่นอน ข้าจะดูแลเขาเอง"

"ดี..เช่นนั้นข้าขอลาไปก่อน พี่โม่ หากท่านต้องการอะไร โปรดมาหาข้าได้"  ก่อนที่นางจะจากไปฉินเซียงหยู ยังไม่ลืมที่จะเตือน โม่บ่อกี้

โม่บ่อกี้ พึ่งพาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ ฉินเซียงหยู เพื่อเข้าสู่ นิกายดาบไร้ลักษณ์นอกจากนี้ ฉินเซียงหยู ยังถือว่าเป็นคนใหม่ของนิกาย และไม่มีอำนาจมากนัก เพราะโดยปกติแล้ว โม่บ่อกี้ จะไม่ลำบากในเรื่องนี้เลย

หลังจากที่ ฉินเซียงหยู จากไปรอยยิ้มของ อู๋ไค ก็หายไปอย่างรวดเร็วและพูดเบาๆว่า "จริงๆแล้วพวกเรามีศิษย์รับใช้มากพอแล้วถ้าไม่ใช่ความช่วยเหลือของพี่ชายของศิษย์น้องฉิน เพียงแค่แผนกอาหารเจ้าก็จะไม่สามารถเข้าได้"

โม่บ่อกี้ ยิ้ม เขาสงบนั่งลงก่อนที่จะชี้ไปที่ ยายเอ๋อ ผู้ซึ่งนอนอยู่บนหลังของเขาและพูดว่า"ผู้ดูเเลอู๋ ท่านเห็นใช่หรือไม่ ว่าข้ามีคนป่วยมาด้วยนอกจากนี้ข้ายังรู้เรื่องการกลั่นยาอยู่มากทีเดียวข้าจะนำอุปกรณ์การกลั่นยาของตัวเองมาใช้ข้าหวังว่าท่านจะมอบหมายงานให้ข้าที่สวนสมุนไพรในเวลาเดียวกันข้าต้องการที่จะอยู่ห่างไกลผู้คน และเงียบสงบสักหน่อยเพื่อที่จะอาศัยอยู่ต่อไปแน่นอนข้าต้องการอยู่คนเดียว"

โม่บ่อกี้ หัวเราะอยุ่ในใจดูเหมือนว่ามีคนคิดว่าเขาเป็นคนยิงใหญ่ ศิษย์รับใช้ที่ต่ำต้อยคนไหนกล้าที่จะเรียกร้องมากมายขนาดนี้จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องปกติสำหรับศิษย์บริการที่จะพักอยู่คนเดียวแต่เขาก็อยากจะเลือกว่าเขาต้องการพักที่ไหน และ เขายังต้องการที่จะเลือกงานที่เขาจะได้รับ

โม่บ่อกี้ ไม่รอคำตอบจาก อู๋ไค เขาจึงหยิบกระเป๋าหนัง มาไว้ข้างหน้าของ อู๋ไค และพูดว่า"ผู้ดูแลอู๋ นี่เป็นไข่เสือดาวของเสือดาวทะเลมีปีกข้ารู้สึกขอบคุณ ผู้ดูแลอู๋ เป็นอย่างมากที่ท่านยอมรับคำร้องขอของข้า ดังนั้นผู้ดูแลอู๋สามารถนำไข่ของ เสือดาวทะเลมีปีกนี้ไปได้ เพื่อแสดงถึงความขอบคุณของข้า"

โมวูจิมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการพูดคำเหล่านั้นแต่เพื่อที่จะมีฐานะที่เหมาะสมเขาจำเป็นต้องประนีประนอม เมื่อคนขาดความสามารถพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการประนีประนอมทุกรูปแบบ โม่บ่อกี้ มีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งในบทเรียนเรื่องนี้บนโลก

"เสือดาวทะเลมีปีก" อู๋ไคตั้งใจจะล้อเลียน โม่บ่อกี้ แต่เขาต้องกลืนคำพูดของเตัวเองทันทีเมื่อเขาหยิบกระเป๋าหนังมาแล้วเปิดออก

แค่ไม่นาน ดวงตาของ อู๋ไค ก็เป็นประกาย ใช่แล้ว มันเป็นไข่ของเสือดาวทะเลมีปีกจริงๆ และเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงชีวิตภายในไข่

ไข่เสือดาวทะเลมีปีกมีคุณค่ามหาศาลเพียงแค่เสือดาวทะเลมีปีกก็ยังหายากมากหากไม่พบเสือดาวทะเลมีปีกยิ่งไม่ต้องพูดถึงไข่ เมื่อมีไข่ของเสือดาวทะเลปีกนั่นหมายความว่าเขาจะมีสัตว์เลี้ยงเป็นสัตว์อสูรที่บินได้ แม้เขาจะไม่ได้ใช้สัตว์อสูรก็ตามแต่มันก็ยังสามารถขายได้ไข่เสือดาวทะเลปีกนี้น่าสนใจมากสำหรับอู๋ไค

"น้องชาย...ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอย่างไร" จนถึงตอนนี้ อู๋ไค ก็ยังไม่จักชื่อของ โม่บ่อกี้ ด้วยซ้ำไป

"บ่อกี้" โม่บ่อกี้ไม่ต้องการพูดคุยกับ อู๋ไค ดังนั้นเขาจึงตอบสั้นๆและรัดกุม

อู๋ไค ถือกระเป๋าหนังไว้แน่นหัวเราะแล้วพูดว่า "คนที่ศิษย์น้องฉินแนะนำก็เหมือนเป็นเพื่อนของข้า มีงานให้ทำที่สวนสมุนไพร แต่ข้าไม่แนะนำให้พี่โม่ทำงานที่สมุนไพร เพราะงานที่นั่นแทจะไม่มีเวลาว่างเอาเสียเลย"

"ผู้ดูแลอู๋เพื่อนของข้าที่อยู่ที่นี่ป่วยหนักมาก ข้าอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับยากลั่นและโอสถทิพย์" โม่บ่อกี้พูด
อู๋ไค ยิ้มและกระซิบว่า"น้องโม่ ถ้าเจ้าต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับยาทำไมไม่ทำงานที่ ร้านขายยา ล่ะ"

"ร้านขายโอสถ" โม่บ่อกี้ถามอย่างงงๆ เขาไม่เข้าใจจริงๆ

อู๋ไค มองโม่บ่อกี้ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า "ร้านขายยา คือที่ที่คนของนิกายเราไปทำงานกลั่นโอสถทิพย์อยู่ เมื่อพวกเขาต้องการส่วนผสมของยาพวกเขาจะไม่มีส่วนผสมของยาเหล่านั้น พวกเขาจะต้องเรียกหา นักวิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาไม่ได้กลั่นยาทุกวัน พวกเขาเปิดเตาปรุงยาเพียงเดือนละครั้งเท่านั้นหากท่านเป็น นักวิ่ง ที่นั่น ท่านจะมีเวลาว่างมากมายและท่านยังมีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องโอสถด้วย"

โม่บ่อกี้ ดีใจมากไข่ของเสือดาวทะเลมีปีกที่ให้ไปคุ้มค่ามากตำแหน่งนี้ช่างเหมาะเจาะพอดิบพอดีสำหรับเขาเหลือเกิน
"ผู้ดูแลอู๋ ข้ารู้สึกขอบท่านจริงๆข้าจะไปที่ร้านขายยา และข้ายังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของ ผู้ดูแลอู๋ อีกมากในวันข้างหน้า" โม่บ่อกี้รู้สึกขอบคุณอย่างมากจริงๆ เมื่อพูดออกมา

อูู๋ไค โบกมือแล้วบอกว่า"ไม่ต้องห่วงเลยข้าจะช่วยท่านเรื่องการเตรียมที่พักอาศัยของท่าน แน่ใจได้ว่ามันจะเงียบสงบต้องมีที่ไหนสักแห่งที่ท่านจะอาศัยอยู่คนเดียวได้ นอกจากนี้ข้าจะจัดให้ท่านไปทำงานที่ร้านขายยาที่สิบเก้า มีคนน้อยมากที่ร้านขายยานั่น"

//////////////////////////////////////////////////////////

แมวอ้วน : เสร็จแล้วว้อยยย…..
          ไก่ในตำนาน : คร่อกก……..
          แมวอ้วน : เอ่อ เที่ยงคืนกว่า …. มันก็สมควรหลับแหละนะ

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 66: ฆาตกร


บทที่ 66: ฆาตกร
เดอะแพนด้าทีม ไก่แช่เหล้า และ แมวนอนหวด แปล
โม่บ่อกี้ มองเห็นความสุขที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของ ติงบู้เอ้อ ได้แม้ว่า บู้เอ้อ กำลังเป็นห่วง ตัวของ โม่บ่อกี้ และ ย่านเอ๋อ ก็ตามที

"เจ้าได้รับเลือกจากนิกายแล้วใช่ไหม ข้าขอแสดงความยินดีกกับเจ้าด้วยโม่บ่อกี้ รู้ได้ทันทีว่า ติงบู้เอ้อ ได้รับคัดเลือกในงานชุมนุมประตูแห่งน้ำพุอมตะ

ติงบู้เอ้อ พยายามอย่างสุดความสามารถไม่ให้เสียงสั่น เพราะความตื่นเต้นในขณะที่พูดว่า  "ถูกแล้ว ข้าได้รับเลือกจาก นิกายธรณีแกร่ง ให้เป็นศิษย์ชั้นนอก บ่อกี้ ทำไมคุณไม่ทำเหมือนข้าลองไปที่ นิกายธรณีแกร่ง ดูล่ะ หรือว่ารากฐานทางจิตวิญญาณของเจ้า ไม่ดีอย่างนั้นเหรอ"

โม่บ่อกี้ จับมือ ติงบู้เอ้อ แล้วพูดว่า "ไม่เป็นไรบางทีข้าอาจจะไปลองเข้านิกายดาบไร้ลักษณ์ ดูน่ะ"

เขาปฏิเสธที่จะฟังคำแนะนำของ เฉินเหลียน ที่ให้ออกจากที่นี่ เขาต้องการหานิกายเพื่อที่จะเข้าร่วม เพราะเขาไม่ได้เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่มีรากมนุษย์ เขาสามารถปลูกฝังให้กับรากมนุษย์ได้

ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเขายังอยู่ เขาอาจจะหาหนทางช่วย ย่านเอ๋อ ได้
"ย่านเอ๋อ ไม่เป็นไรใช่ไหมติงบู้เอ้อ รู้ดีว่า โม่บ่อกี้ กำลังรู้สึกเช่นไร ก่อนที่จะมาแสดงความยินดีกับเขา

โม่บ่อกี้ ถอนหายใจก่อนที่จะตอบว่า "ไม่ดีนัก นางบาดเจ็บมาก แต่ข้าสาบานว่าจะช่วยนาง หลังจากที่ไปเข้าร่วมกับนิกายดาบไร้้ลักษณ์ อย่าคิดมากกับปัญหาของข้าเลย แล้วเจ้าเองก็ต้องให้ความสำคัญ กับการเพาะปลูกหลังจากที่เจ้าเข้าสู่ นิกายธรณีแกร่ง"

"ข้าจะมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างหนัก ข้ามั่นใจว่าเมื่อพวกเราพบกันคราวหน้า ไม่ว่าจะเป็นพี่เสิ่นยี น้าสิบเอ็ด หรือท่าน พวกเราทุกคนจะแตกต่างไปจากนี้มากติงยู้เอ้อ พูดด้วยความกระตือรือล้น

เขาให้สัญญากับ โม่บ่อกี้ ไม่ได้ ว่าเขาจะช่วย ย่านเอ๋อ ได้เพราะเขายังเป็นเพียงศิษย์ภายนอกตัวเล็กๆเท่านั้น  เขาได้ตั้งปณิธานในใจของเขาที่จะไปตามหา โม่บ่อกี้ ที่นิกายดาบไร้ลักษณ์ ถ้าเขาค้นพบวิธีที่จะช่วย ย่านเอ๋อ ได้

"อย่าเป็นห่วงพวกเราเลย เจ้ารีบไปเถอะโม่บ่อกี้ รู้ดีว่านี่เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของ ติงบู้เอ้อ เพราะเขาเองก็ยังไม่รู้ว่ายาของเขาจะใช้กับ ติงบู้เอ้อ ได้หรือไม่ ตอนนี้จึงเป็นประโยชน์มากกว่าที่ ติงบู้เอ้อ ได้เข้าร่วมนิกายเพื่อฝึกฝนและรับการเพาะปลูกอย่างสบายใจ แทนที่จะติดตามเขา ตอนนี้ โม่บ่อกี้ ก็ต้องการหานิกายให้ตัวเองเข้าร่วมด้วย

"เอ้อ จริงด้วย บ่อกี้ ข้าได้ยินมาว่าค่ายที่พักของ นครกระบี่เลิศภพ ถูกโจมตีและทาสจำนวนมากหลบหนีออกมาได้ ข้ายังได้ยินมาอีกว่าเหล่าสาวกของ นครกระบี่เลิศภพ ยังค้นหาทาสของพวกเขาอยู่ ย่านเอ๋อ ถูกศิษย์ของ นครกระบี่เลิศภพ พาตัวไปใช่ไหม"

"นครกระบี่เลิศภพโม่บ่อกี้ หยุดใช้ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเห็นด้วยกับการคาดเดาของ ติงบู้เอ้อ  อาจถูกต้องเป็นไปได้ที่ ย่านเอ๋อ จะหลบหนีออกมาจากค่ายพักของ นครกระบี่เลิศภพ ได้โดยปลอดภัย เจตนาของผู้ที่บุกโจมตี นครกระบี่เลิศภพ น่าจะเป็นเพื่อการปลดปล่อยทาวส และเปิดโปงการกระทำที่ชั่วร้ายของ นครกระบี่เลิศภพ

แต่ทำไม นครกกระบี่เลิศภพ จึงพาพวกทาสเหล่านี้เข้าร่วม งานชุมนุมประตูแห่งน้ำพุอมตะเล่า

"หลังจากที่เจ้าจากไป มีชายคนหนึ่งที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุด อันที่จริง เขามีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุทองระดับที่สูงที่สุด ชายหนุ่มผู้นั้นคือ เจ้าปราสาทของนครกระบี่เลิศภพ ชื่อ ตง หลุน สิ่งที่แปลกก็คือ แม้เขาจะมาจาก นครกรบี่เลิศภพ เขากลับเลือกเข้า วิหารสวรรค์ แทนติงบู้เอ้อ กระซิบบอก โม่บ่อกี้

รากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุด การโอนรากฐานทางจิตวิญญาณ นครกระบี่เลิศภพ …   

โม่บ่อกี้ กำหมัดแน่นเขามั่นใจแล้วว่า ช่องทางวิญญาณของ ย่านเอ๋อ ต้องถูกทำลาย เพราะความล้มเหลวของ เจ้าปราสาทของนครกระบี่เลิศภพ ในการถ่ายโอนรากฐานทางจิตวิญญาณ

ทำไมเหล่าทาสเหล่านี้ถึงได้มาอยู่ที่ ฉางลู่ นี่เป็นเพียงเพราะ เจ้าปราสาท ของ นครกระบี่เลิศภพ ต้องการเข้าร่วใน งานชุมนุมประตูแห่งน้ำพุอมตะ เเค่นั้นหรือ

หรือเนื่องเพราะ เขาไม่สามารถโอนรากฐานทางจิตวิญญาณให้กับตัวเอง ได้สำเร็จ ดังนั้นเพื่อไม่ให้การเข้าร่วม งานชุมนุมของประตูน้ำพุอมตะ ต้องหยุดลง เขาจึงนำผู้ที่ถือครองจิตวิญญาณชั้นสูงเหล่านี้มาที่ ฉางลู่ ด้วยเพื่อทดลองโอนถ่ายรากฐานทางจิตวิญญาณต่อ แน่นอนว่ารากฐานทางจิตวิญญาณธาตุทองของเขา ต้องได้รับการถ่ายทอดจากบุคคลอื่น

"นคร กระบี่ เลิศภพ... " คำสามคำนี้ถูกสลักไว้ในส่วนลึกของหัวใจของ โม่บ่อกี้ และ จิ้งเฟยหลาน ที่เขาสาบานว่าวันที่เขาขึ้นไปอยู่บนจุดที่เหนือกว่าได้ เขาจะทำลาย นครกระบี่เลิศภพ และฆ่า ตงหลุน กับ จิ้งเฟยหลาน ทิ้งให้ได้

"บ่อกี้ แม้พวกเราจะสงสัยว่า ย่านเอ๋อ ถูกทำร้ายโดยคนของ นครกระบี่เลิศภพ  พวกเราต้องไม่ทำอะไรโง่ๆให้พวกนั้นหาเรื่องกำจัดพวกเราได้ อย่างการไปทร้ายพวกนั้นติงบู้เอ้อ รีบห้ามปราม โม่บ่อกี้

"ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าจะทำอย่างไร และอะไรที่ทำได้หรือไม่ได้บ้าง เจ้าเองก็ควรรีบกลับไปที่นิกายของเจ้าโดยเร็ว เพราะตแนนี้ข้าเองก็ต้องรีบไปที่ นิกายดาบไร้ลักษณ์ เช่นกันไม่ต้องให้ ติงบู้เอ้อ เตือนเขา ตัวเขาเองก็คงไม่โง่พอที่จะทำอะไร อย่างการรีบร้อนไปแก้แค้นในตอนนี้

ติงบู้เอ้อ หยิบถุงใบหนึ่งออกมาและส่งให้กับ โม่บ่อกี้

          "บ่อกี้ นี่คือไข่ของ เสือดาวทะเลมีปีก ตอนนี้ข้าได้รับเลือกจากนิกายแล้ว ข้างคงไม่ต้องใช้มันอีกต่อไป ตอนนี้ข้ายังมีสถานะเป็นศิษย์ชั้นนอกเท่านั้น ข้าอาจจะไม่มีเวลาที่จะเลี้ยงดูสัตว์อสูรได้อีก เจ้าต้องเก็บไว้ให้ดีที่สุด สักวันมันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า"

"เอาละ ข้าจะเก็บมันไว้โม่บ่อกี้ ไม่ปฏิเสธข้อเสนอของ ติงบู้เอ้อ เพราะเขาอาจจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เพื่อเข้าสู่ นิกายดาบไร้ลักษณ์ เพราะเขายังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ

...

งานชุมนุมประตูแห่งน้ำพุอมตะ เป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับปุถุชนคนธรรมดาทุกคน เพราะเป็นการชุมนุมที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเหมือนปลาที่กระโดดข้ามประตูงมังกร[1] สำหรับนิกายต่างๆ งานชุมนุมประตูแห่งน้ำพุอมตะ ก็คือการคัดเลือกคนเข้านิกายเท่านั้น

แม้ว่าการชุมนุมดังกล่าว จะมีความสำคัญต่อหลายๆคน แต่ก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองวัน

ราวกับว่า ย่านเอ๋อ ผูกพันกับ โม่บ่อกี้ นางไม่ได้ขัดขืนการดูแลและเอาใจใส่ของเขาเลย แต่ว่านางเองก็ยังเพ้อหานายน้อยของนางต่อไป นางเรียกหา "นายน้อย"  แล้วจากนั้นนางก็สิ้นสติไปอีกครั้ง

วันรุ่งขึ้น โม่บ่อกี้ ใช้ผ้าห่อตัว ย่านเอ๋อ ไว้แล้วอุ้มนางขึ้นแล้วแบกนางไว้บนหลังของเขา จากนั้นก็ออกจากโรงเตี๊ยมนภาลัย พร้อมกับสัมภาระต่างๆของเขา

ถึงแม้ นิกายดาบไร้ลักษณ์ จะปฏิเสธเขาแต่เขาก็รู้ดีว่าต้องจาก ฉางลู่ ไปอยู่ดี


นิกายดาบไร้ลักษณ์ เป็นหนึ่ในนิกายขนาดเล็กระดับปฐพี ที่มีระดับต่ำกว่านิกาย อื่นๆในระดับปฐพี จึงอธิบายได้ว่า ทำไมค่ายพักแรมของพวกเขา ตั้งอยู่ในที่ห่างไกลเช่นนี้

"พี่โม่ ... " โม่บ่อกี้ ได้ยินเสียงของ ฉินเซียงหยู ขณะที่เขาเดินเท้าไปที่ค่ายพัก

"บังเอิญเสียจริงโม่บ่อกี้ รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบกับนาง ในขณะที่เขากำลังกังวลว่า เขาจะต้องแนะนำตัวเองด้วยสัญลักษณ์เพียงอย่างเดียวและหวังว่าจะได้เข้าสู่นิกาย

ฉินเซียงหยู พูดด้วยความดีใจว่า "ถูกแล้ว ข้าจะนำท่านไปลงทะเบียน"

ฉินเซียงหยู แต่งกายด้วยชุดยาวที่สวยงาม ของศิษย์ภายนอก ซึ่งขับเน้นเอวบางๆกับรูปร่างที่อ่อนช้อย ความงามของนาง ทำให้นางดูเหมือน เทพธิดาที่เดินอยู่บนพื้นดิน มองไปที่นางในตอนนี้ โม่บ่อกี้ ไม่เคยคิดว่าฉินเซียงหยู่ จะเป็นเพียงแค่ผู้คนรับใช้คนนั้นจากเมื่อไม่กี่วันก่อน

โม่บ่อกี้ ไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเขาจึงรู้ทันทีหลังจากที่ ฉินเซียงหยู พูดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พวกเขาได้พบกันที่นั่น เขารู้ว่านางกำลังรอเขาอยู่เพราะมันเป็นคืนสุดท้ายที่จะลงทะเบียนเพื่อเป็นศิษย์ของนิกายดาบไร้ลักษณ์ ก่อนที่บรรดานิกายส่วนใหญ่จะออกจาก ฉางลู่ ในคืนนั้น

"ขอบคุณมากๆ ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ชั้นนอกและข้าก็เป็นเพียงศิษย์รับใช้ ในวันหน้าข้าคงต้องขอให้ท่านเมตตาด้วย ศิษย์พี่แม้ว่า โม่บ่อกี้ จะไม่ได้เข้านิกายเขาก็รู้ว่า ศิษย์รับใช้เป็นอะไรได้มีค่ามากไปกว่า เศษธุลีในนิกาย

ฉินเซียงหยู พูดด้วยใบหน้าที่ซื่อตรงว่า "ไม่ ข้าขอฏิเสธ พี่บ่อกี้และพี่เสิ่นยี เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติ ข้าตัดสินใจที่จะเรียกท่านว่า พี่โม่แล้ว ข้าก็จะไม่เปลี่ยนใจ ไม่ว่าสถานะระหว่างเราจะเป็นอย่างไรในอนาคตก็ตาม"

นางต้องการ ให้ความเคารพต่อ โม่บ่อกี้ กับ หยวนเสิ่นยึที่ ปกป้องนางบนเรือ นอกจากนี้นางยังได้เห็นถึงความกล้าหาญในตัวของ โม่บ่อกี้ ซึ่งหาได้ยากมาก เป็นเพราะเหตุนี้นางจึงมอบสัญลักษณ์ศิษย์รับใช้ใน นิกายดาบไร้ลักษณ์ ให้ นอกเหนือจากการขอบคุณสำหรับ โม่บ่อกี้ แล้วนางต้องการที่จะได้รับความสัมพันธ์ที่ดีจากเขาด้วยเช่นกัน

คนพิเศษเช่น โม่บ่อกี้ ย่อมที่จะไปได้ไกลยิ่งขึ้นแม้ว่าจะมี รากฐานทางจิตวิญญาณที่อ่อนแอเล็กน้อยก็ตาม

[1] ในประเทศจีน มีความเชื่อสืบทอดมาแต่โบราณว่า ที่ต้นน้ำของแม่น้ำฮวงโห เป็นช่วงที่กระแสน้ำมีความเชี่ยวกรากเป็นอย่างยิ่ง ปลาทุกตัวที่ว่ายทวนน้ำขึ้นไป จะถูกกระแสน้ำพัดตกลงมาตายหมดทุกตัว จะมีก็แต่เพียงปลาคาร์ฟเท่านั้น ที่สามารถว่ายทวนน้ำตกขึ้นไปได้ ปลาคาร์ฟที่ว่ายทวนขึ้นกระแสน้ำขึ้นไปถึงประตูมังกร จะกลายร่างเป็นมังกร และบินไปสู่สรวงสวรรค์

////////////////////////////////////////////////////////////////////////

แมวอ้วน : ตอนแรกเสร็จแล้วว้อย
          ไก่ในตำนาน : สี่ทุ่มละลุง
          แมวอ้วน : หะ!!! สี่ทุ่ม ชิหายล้าววววววววว

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 65: ตำรายาไร้อักษร

บทที่ 65: ตำรายาไร้อักษร
เดอะแพนด้าทีม ไก่ในตำหมาก และ แมวตาปรือ แปล
เฉินเหลียน เดินไปที่ขอบเตียง ย่านเอ๋อและนั่งลง ผมสีน้ำตาลที่แห้งกรอบและผิวหนังที่หยาบกระด้าง ใบหน้าที่ซูบซีด ร่างกายที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ก็ยังไม่อาจความน่ารักของนาง คำถามที่เกิดขึ้นในใจของ เฉินเหลียน ขณะที่ดวงตาของนางจ้องมองไปที่ ย่านเอ๋อ ที่น่าสงสารก็คือ เด็กผู้หญิงคนนี้ผ่านความทุกข์มามากแค่ไหน นางถูกทรมานมาขนาดนี้เชียวหรือ

 นอกจากนี้แล้วความสัมพันธ์ระหว่างนางกับ โม่บ่อกี้ มีความสัมพันธ์กันขนาดไหน

          เฉินเหลียน วางมือบนข้อมือของ ย่านเอ๋อ แล้วหลับตา ไม่นานนักนางก็ลืมตาขึ้นมาดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แม้แต่มือของนางก็ยังสั่นเทาด้วยความโกรธที่ท่วมท้น

"นางเป็นอย่างไงบ้างโม่บ่อกี้ ถามด้วยความกระวนกระวาย ย่านเอ๋อ เป็นคนแปลกหน้ากับ เฉินเหลียน ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นกลัวเล็กน้อย

เฉินเหลียน คลายมือของนางออก เเล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบตัวเองก่อนที่จะถามว่า "นางมีรากฐานทางจิตวิญญาณที่ค่อนข้างดีใช่หรือไม่"

          โม่บ่อกี้ พยักหน้าตอบทันทีว่า "ใช่ ย่านเอ๋อ มีรากฐานทางจิตวิญญาณของไม้ที่มีคุณภาพสูงสุดด้วยแสงสีเขียวที่แผร่ออกมาอย่างลึกลับไม่ต้องสงสัยถึงความสัมพันธ์ของธาตุไม้เลย หลังจากที่เข้าร่วมงานชุมนุมประตูน้ำพุอมตะ มานาน โม่บ่อกี้ ได้รับความเข้าใจอย่างมากเกี่ยวกับการทดสอบรากวิญญาณ

ใบหน้าที่เเสดงออกถึงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เฉินเหลียน ขณะมองไปยัง โม่บ่อกี้ แล้วพูดว่า "ในโลกแห่งการเพาะปลูกมีวิธีชั่วร้ายที่ใช้กันอยู่บ้างคือการโอนรากฐานวิญญาณ คนเหล่านี้ปรารถนาให้คนอื่นมีจิตวิญญาณที่มีคุณภาพดีกว่าและพยายามที่จะถ่ายโอนรากฐานเหล่านี้ไปยังร่างกายของตัวเองเพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการเพาะปลูก ... " ก่อนที่เฉินเหลียนจะพูดจบประโยค ท่าทีของ โม่บ่อกี้ ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

เขาก็ลุกขึ้นยืนจ้องเขม็งไปที่ เฉินเหลียน "เจ้าจะบอกว่า ย่านเอ๋อโดน ... " ราวกับว่านางสามารถอ่านความคิดของ โม่บ่อกี้ ได้นางก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง "เจ้าพูถูกเเล้ว ย่ายเอ๋อ ถูกย้ายรากฐานวิญญาณออกไป"

"เจ้าปีศาจตัวนั้น ... " ไฟแค้นภายในใจของ โม่บ่อกี้ ลุกโชนขึ้นด้วยความบ้าคลั่ง โม่บ่อกี้ ทุบมือลงบนโต๊ะอย่างรนเเรง แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย

          เฉินเหลียน ถอนหายใจและพูดต่อว่า "วิธีการนี้เป็นวิธีที่ชั่วร้ายอย่างมาก โดยปกติคนที่ทำตามขั้นตอนนี้เลือก ปุถุชนที่ไม่มีฐานะหรือผู้สนับสนุน เพราะมิฉะนั้นเมื่อข่าวดังกล่าวแพร่กระจายออกไปชื่อเสียงของเขาจะสูญเสีย เหนื่อสิ่งอื่นใดเเล้วเขาจะถูกลงโทษไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน"

ในที่สุดโม่บ่อกี้ก็สงบลง การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปไม่นานนัก แล้วถามว่า "ถ้าอย่างนั้นเเล้วทำไม ย่านเอ๋อ จึงยังมีชีวิตอยู่ และยังคงสามารถไปที่ลานกว้างของงานชุมนุมประตูน้ำพุอมตะผู้เดียวมันไม่น่าเชื่อที่ ย่ายเอ๋อ จะยังมีชีวิตอยู่หลังจากที่ผ่านการย้ายรากฐานจิตวิญญาณ

เฉินเหลียน ขมวดคิ้ว "ข้าก็ไม่เข้าใจใน ตรรกะนี้เลยถึงยังไง ย่านเอ๋อ ก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาพวกเขาไม่น่าจะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ เพราะคนที่โอนรากฐานทางิตวิญญาณ จะไม่ยอมให้ใครรู้เลยว่าเขาทำเช่นนั้น ตอนนี้พวกเขาไม่เพียง แต่ปล่อยให้นางยังมีชีวิตอยู่เเต่ยังปล่อยให้นางหลบหนีออกมา นี่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย"

"รากของ ย่านเอ๋อ ถูกย้ายออกไป!!โม่บ่อกี้ ระงับความโกรธที่เกิดขึ้นภายในใจเขา เขาต้องสงบสติอารมณ์ ความโกรธและความเกลียดชัง เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่อาจช่วยให้เขาแก้แค้นได้สำเร็จ

เฉินเหลียน ได้แต่ส่ายหัว "ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับช่องวิญญาณของ ย่านเอ๋อ เป็นสัญญาณว่ากระบวนการถ่ายโอนล้มเหลว อัตราความสำเร็จของกระบวนชั่วช้าเช่นนี้ต่ำมากโดยปกติจะไม่ถึงหนึ่งในพันเมื่อได้ยินเรื่องนี้ โม่บ่อกี้ กำหมัดอีกครั้ง เเละพูดอย่างรุนแรงออกมา

"วิธีชั่วช้า ที่มีโอกาสสำเร็จน้อยกว่าหนึ่งในพัน เเต่ก็ยังมีคนที่ยังคงต้องการที่จะทำมันโดยไม่ได้สนใจชีวิตหรือความตายของคนอื่นๆ อย่างนั้นรึ"

ด้วยเหตุนี้ เฉินเหลียน จึงตอบอย่างอ่อนโยนว่า "เจ้าช่างไร้เดียงสานัก ใช้วิธีชั่วช้าโดยไม่ได้สนใจชีวิตหรือความตายของผู้อื่นอย่างนั้นรึ ข้าจะบอกเจ้า ในสายตาของผู้เพาะปลูกเปิดช่องทางจิตวิญญาณ มนุษย์เป็นเพียงมดปลวกที่พวกเขาสามารถบดขยี้เมื่อใดก็ได้ ตามแต่พวกเขาต้องการ ไม่ว่ารากวิญญาณจะดีเพียงใดตราบเท่าที่ไม่มีใครปลูกฝัง มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ แม้ว่าจะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จแค่ หนึ่งในพันแต่ก็ยังมีคนที่ต้องการทำเช่นนี้"

เมื่อถึงเวลานี้ เฉินเหลียน ดูเหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่างจึงพูดว่า "ไม่ว่าย่านเอ๋อ จะหลบหนีได้อย่างไร เจ้าต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และไม่ควรไปร่วมงานชุมนุมประตูแห่งน้ำพุอมตะด้วย จริงๆแล้วศิษย์ที่รับใช้ และศิษย์ภายนอก มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างชนชั้นของพวกเค้าอยู่ ในที่สุดเจ้าจะรู้ว่าการเป็นศิษย์บริการไม่ต่างจากการไม่ได้เข้านิกายเลย

โม่บ่อกี้ เข้าใจดีว่า เฉินเหลียน พูดถูก แต่ในเวลาที่ ยานเอ๋อ อยู่ในสภาพเช่นนี้เขาจะไปที่ไหนได้ เเต่ยังโชคดีที่ ฉางลู่ เป็นเมืองใหญ่ดังนั้นจึงมีความหวังมากขึ้นว่า เขาจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของ ย่านเอ๋อ ได้ "ศิษย์พี่เฉิน สามารถรักษาช่องวิญญาณของ ย่านเอ๋อ ได้หรือไม่ เป็นไปได้ไหมที่ทำให้นางจะมีสุขภาพแข็งแรงอีกครั้งโม่บ่อกี้ ถามขึ้น นี่เป็นเรื่อที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดในตอนนี้

แต่น่าเสียดายที่ เฉินเหลียน ตอบกลับด้วยการสั่นศีรษะของนางอย่างเห็นอกเห็นใจ "เป็นเรื่องยากที่จะรักษานาง จากสภาพความรุนแรงของการบาดเจ็บของนาง ช่องวิญญาณถูกทำลายและร่างกายของนางยังอยู่ในความยุ่งเยิง แม้ว่าจะเป็นบิดาของข้าก็เป็นไปไม่ได้ บางที ... มันคงจะเป็นปาฎิหาริย์หากนางสามารถอยู่ได้อีกสักสิบปี "

ที่จริงแล้ว เฉินเหลียน คาดว่า ย่านเอ๋อ จะอยู่ได้มากที่สุดไม่เกินสามปีเท่านั้น แต่เนื่องจาก โม่บ่อกี้ ให้ความสำคัญกับ ย่านเอ๋อ มากดังนั้นนางจึงโกหกไปว่า สิบปีเพื่อปลอบโยนเขา

"ข้าต้องรักษา ย่านเอ๋อ ให้ได้โม่บ่อกี้ เหมือนพูดกับตัวเองครึ่งหนึ่งและพูดกับ เฉินเหลียน อีกครึ่งหนึ่งบิดาของ เฉินเหลียน เป็นนักกลั่นโอสถทิพย์ระดับปฐพี หากเขาไม่สามารถรักษา ย่านเอ๋อ ได้ เเล้วปรมจารย์โอสถสวรรค์ล่ะ เเม้ว่า จักรวรรดิ ชิงฮั่น จะไม่มี ปรมาจารย์ที่กลั่นยาโอสถสวรรค์ได้ แต่นั่นหมายความว่ามันจะไม่มี  หากไม่มีเขาก็จะเรียนรู้การกลั่นโอสถด้วยตัวเอง

"ศิษย์พี่เฉิน ข้ารู้ว่าคำขอนี้จะทำให้ท่าน ตกอยู่ในฐานะที่ยากลำบาก แต่โปรดพาข้าไปกับท่านด้วยและขอให้บิดาท่านช่วยสอนให้ข้ารู้เรื่องโอสถด้วยเถิด...โม่บ่อกี้ รีบลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับอย่างนอบน้อมต่อ เฉินเหลียน หลังจากตัดสินใจ

          ถ้าไม่ใช่เพื่อช่วย ย่านเอ๋อ เขาจะไม่ขอร้องเฉินเหลียนอย่างนี้ เขารู้ว่าถ้าเป็นไปได้ที่ เฉินเหลียน จะพาเขาไปกับนางได้ละก็นางคงจะพาไปเเล้ว นอกจากนี้ศิษย์พี่นาง หวูจิงหวู่ ไม่ใช่คนที่เป็นมิตรนัก

ตามคาด เฉินเหลียน มีสีหน้าไม่สบายใจนักและตอบว่า "นี่เป็นไปไม่ได้ บิดาของข้าจะไม่ให้เจ้าเป็นศิษย์เเน่นอน และจะไม่สอนให้เจ้าด้วย หากเขารู้ว่าเจ้ารู้จักข้า  ดังนั้นข้าไม่สามารถพาเจ้าไปกับข้าได้นางรู้สึกขมขื่นภายในใจ ถ้ามันเป็นการง่ายที่จะโน้มน้าวบิดาของนาง นางก็คงจะไม่อ่อนใจเช่นนี้

เเต่โชคดีที่ โม่บ่อกี้ ถามคำถามนี้แก่นาง เพราะว่าถ้าเป็นผู้อื่นมาอยู่ในตำแหน่งของนางตอนนี้เเละพวกเขาจะหัวเราะไม่ออก ถ้า โม่บ่อกี้ พูดกับบิดาของนาง นางก็มั่นใจเต็มร้อยว่า เขาจะฆ่า โม่บ่อกี้ ตรงนั้นเลย ด้วยเหตุนี้นางจึงยืนกรานที่จะไม่พา โม่บ่อกี้ ไปเรียนรู้การกลั่นโอสถทิพย์จากบิดาของนาง เพราะมันจะเป็นการทำร้าย โม่บ่อกี้

แม้จะผิดหวังแต่ โม่บ่อกี้ รู้ดีว่าคำขอของเขาค่อนข้างเกินกว่าเหตุไปบรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนเป็นอึดอัดและเงียบเชียบ

          ดูเหมือน เฉินเหลียน จะนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ นางเอาหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งออกมาให้กับ โม่บ่อกี้

          นางอธิบายว่า "นี่ควรเป็นคู่มือที่ใช้กลั่นโอสถทิพย์ ข้าซื้อมันจากแผงลอยในตลาด แต่ข้าเปิดดูแล้วมันไม่มีตัวอักษรใดๆอยู่ในนั้นเลย บางทีข้อความอาจจะปรากฏขึ้นหลังจากที่แช่คู่มือไว้ในน้ำยาสมุนไพร แต่ข้าได้ลองใช้วิธีการมากมายไปแล้ว แต่ไม่มีประโยชน์เลย ทำไมเจ้าไม่ลองเสี่ยงดวงกับมันดูล่ะ เจ้าอาจทำสำเร็จได้ก็ได้ คู่มือการทำโอสถทิพย์นั้น ไม่อาจจะหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป และถ้าเจ้าจะใช้สิ่งนี้เป็นคู่มือในการกลั่นโอสถทิพย์ เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจว่า จะปล่อยให้คนอื่นรุ้ว่าเจ้ามีตำรานี้ไม่ได้เด็ดขาด"

          ที่จริงแล้วหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ซื้อจากแผงลอยริมถนน แต่เป็นตำราที่นางขโมยมาจากบิดาของนาง ก่อนที่จะหนีออกจากบ้าน แต่ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย นางไม่อาจทำให้ข้อความใดๆปรากฏขึ้นในตำราเล่มนี้ได้เลย

          ขณะนี้ โม่บ่อกี้ ต้องการเรียนรู้การกลั่นยาโอสถทพย์ นางจึงตัดสินใจที่จะมอบคู่มือการกลั่นโอสถทิพย์นี้ให้กับเขา

ข้าต้องขอขอบคุณ ศิษย์พี่เฉิน เป็นอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฝึกฝน หรือเรื่องของโอสถทิพย์ หากวันหน้า โม่บ่อกี้ ประสบสบความสำเร็จใดๆขึ้นมา ข้าจะต้องตอบแทนท่านแน่นอนโม่บ่อกี้ ไม่รุ้ว่าตำราการกลั่นโอสถทิพย์ไม่อาจหาซื้อได้ เขาเพียงคาดคะเนจากน้ำเสียงของ เฮินเหลียน ว่ามันมีค่ามหาศาลมาก

หนังสือเล่มเล็กที่ เฉินเหลียน มอบให้กับเขา อาจเป็นตำราการกลั่นโอสถทิพย์ เนื่องจากมันมีภาพจางๆของเตายาอยู่บนหน้าปก

"นี่คือทั้งหมดเท่าที่ข้าจะช่วยเจ้าได้ หลังจากที่ งานประตูแห่งน้ำพุอมตะสิ้นสุดลง ข้าจะออกจากฉางลู่แล้วกลับบ้าน พบกันใหม่คราวหน้าเฉินเหลียน ย่านเอ๋อ ที่นอนหลับอยู่ด้วยความสมเพชก่อนที่จะออกจากห้องไป

โม่บ่อกี้ ไม่ได้ตอบอะไรเขาเพียงแต่ลุกขึ้นยืนคำนับอย่างนอบน้อมอีกครั้งเท่านั้น เฉินเหลียน ได้พบกับเขาโดยบังเอิญ ถึงแม้เขาจะเคยช่วยเหลือนางบ้าง แต่เมื่อเทียบกับจำนวนที่นางช่วยเขา สิง่ที่เขาเคยทำกลับกลายเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น ความกตัญญูไม่ได้จำเป็นต้องแสดงออกด้วยการพูด แต่มันต้องมาจากการกระทำ ถ้าวันหน้าเขามีเงินเขาจะจ่ายเงินให้นาง แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ เขาก็ไม่รู้ว่า คนอย่าง เฉินหลิน จะชอบพอมนุษย์ธรรมดาอย่างเขาหรือไม่

          "บ่อกี้... " ทันทีที่ เฉินเหลียน จากไป ติงบู้เอ้อ ก็เข้ามาในห้องทันที

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////



แมวอ้วน : เสดแย้วว้อย 
          ไก่ในตำนาน : เลยเส้นตายเว้ยลุง
          แมวอ้วน : หึหึหึ เก๊าขอโต๊ด………….

บทที่ 64: ระดับทั้งเก้าของการกลั่นยา


บทที่ 64: ระดับทั้งเก้าของการกลั่นยา
เดอะแพนด้าทีม ไก่ในยำแซ่บ และ แมวมึน แปล

"นายน้อย... นายน้อย ... " หลังจากที่เขาเข้าไปใกล้ ย่านเอ๋อ ก็ยิ้ม โม่บ่อกี้ ได้ยินเสียงพึมพำเรียกหาเขาอยู่ตลอดเวลา

เสื้อผ้าของนางขาดรุ่งริ่งและเปื่อยรุ่ยอีกทั้งมีกลิ่นหืนมาจากตัวของนาง นางร้องเรียกหา นายน้อย ของนางตลอดเวลา แต่ไม่ใช่เพราะนางจดจำ โม่บ่อกี้ ได้ แต่เป็นเพราะคำพูดเหล่านี้เป็นคำที่นางเรียกหามาตลอด

"จิ่ว ... เฟย ... หลาน!โม่บ่อกี้ กัดฟันเปล่งคำทั้งสามอกกมาทีละคำ เขารู้แค่ว่าผู้หญิงที่แย่ง ย่านเอ๋อ ไปคือ จิ่วเฟยหลาน หลังจากถูกแย่งชิงไป ย่านเอ๋อ กลับลงเอยด้วยการเดินไปตามถนนดูเหมือนคนสติไม่ดี
         
 ถ้าเขาไม่ได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้น เขาคงมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีค่าอะไรไปตลอดชีวิตของเขา

ร่างของ ย่านเอ๋อ เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและผมของนางก็กรอบแห้งและเหลือง เมื่อ โม่บ่อกี้ กอด ย่านเอ๋อ ไว้ในอ้อมแขนของเขา เขารู้สึกว่านางหนักเพียง สิบ ถึงยี่สิบกิโลกรัม มันจึงเข้าใจได้ไม่ยาก ว่านางต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสแค่ไหน
เพลิงโทสะลุกโชนอยู่ในหัวใจของ โม่บ่อกี้
โม่บ่อกี้ กำหมัดด้วยความโกรธ เล็บของเขาเจาะเข้าไปในเนื้อฝ่ามือ เลือดสดๆไหลรินลงมา แต่ดูเหมือนเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไร

"เจ้าเป็นคนเตะ ย่านเอ๋อ รึโม่บ่อกี้ เดินไปหาชายคนหนึ่งที่เตะ ย่านเอ๋อ

ก่อนหน้านี้เขาเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ ย่านเอ๋อ ต้องผ่านพบความทุกข์ยากใดๆอีก  อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลาสั้นๆนี้ นางกลับกลายเป็นคนละคน กับก่อนหน้านี้ ไม่เพียง แต่นางกลายเป็นคนเร่ร่อนที่ไม่มีที่อยู่อาศัย นางยังถูกข่มเหงอย่างไร้เหตุผล

โม่บ่อกี้ ยินดีที่จะแบกรับความเจ็บปวดทุกอย่างที่ ย่านเอ๋อ เคยผ่านมา เพื่อที่นางจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป หลังจากที่ นางได้รับความลำบากมามากพอแล้วที่คอยดูแลเขา

สายตาของชายคนนั้นมองมาที่ โม่บ่อกี้ แล้วขาก็บอกว่า "ใช่ ข้านี่แหละที่เตะนางแล้วเจ้าจะทำอะไรข้า"

"กร๊อบ! อ๊าก! (ผัวะ!) ... " ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว โม่บ่อกี้ เตะไปที่เข่าของชายคนนั้น จึงได้ยินเพียงเสียงของกระดูกหัก ในขณะเดียวกัน โมบ่อกี้ ก็ตบปากของชายคนนั้น ถ้าความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับเขา เขาก็สามารถทนต่อความรู้สึกนั้นและรอเวลาที่เหมาะสมจะเอาคืน แต่เขาไม่สามารถทนให้ ย่านเอ๋อ ที่ถูกรังแกได้ เพราะบางที่เราก็ไม่สามารถทนต่อบางสิ่งบางอย่างได้

เสียงกรีดร้องความเจ็บปวดของชายคนนั้นดังไปทั่ว การตบของ โม่บ่อกี้ นั้นทำให้เขาล้มลงบนพื้นดินกลายเป็นคนพิการ ที่นั่งจับเข่าตัวเองพร้อมกับถ่มฟันที่หลุดเเละเลือดที่ไหลออกมาจากปาก

แม้ในที่นั้นจะมีคนจำนวนมากแต่ โม่บ่อกี้ อยู่ที่ด้านข้างของจัสตุรัส การกระทำของเขาจึง มีคนสนใจอยู่เพียงไม่กี่คนในบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น

แต่ผู้คนรอบข้าง อาจรู้สึกถึงการคุกคามของ โม่บ่อกี้ จึงกระจายตัวออกไปทันที จึงเกิดพื้นที่ว่างขึ้นรอบตัว โม่บ่อกี้ แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ในขณะที่เขาหันไปหา ย่ายเอ๋อ

"นางเป็นเพื่อนของเจ้าหรือเฉินเหลียน รีบไปและกระซิบในหูของ โม่บ่อกี้
ขณะที่ โม่บ่อกี้ กำลังจะตอบ ก็มีเสียงดังออกมาว่า

"เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถรอดไปไปหลังจากที่ทำร้ายคน ในงานชุมนุมประตูแห่งน้ำพุอมตะนี้อย่างนั้นรึ"

ผู้พูดเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้ายาวและตาเรียว บนหลังของเขาเป็นดาบยาว ผมของเขาถูกมัดเกล้าไว้ด้านหลัง เขาสวมรองเท้าพื้นบางเมื่อไม่นานมานี้ โม่บ่อกี้ ได้พบกับกลุ่มผู้เพาะปลูกมากมาย เเละดูเหมือนว่าเขาคนนี้เป็นผู้เพาะปลูก

"หวู จิงหวู่ เจ้าหมายถึงอะไรเฉินเหลียน ซึ่งอยู่ข้าง โม่บ่อกี้ เห็นคนถามคำถามนี้

ตอนนั้น โม่บ่อกี้ รู้ว่าเขาต้องพบกับเรื่องแบบอยู่แล้ว คนผู้นี้อาจจะทำให้เกิดปัญหากับเขา เพราะความสัมพันธ์กับ เฉินเหลียน

หวูจิงหวู่ มองไปที่ เฉินเหลียน และกล่าวว่า "ศิษย์น้องหญิง เจ้าอย่าได้ไปคบหากับปถุชนชั้นต่ำเหล่านี้ ได้หรือไม่ มันมีเเต่จะทำให้สถานะของเจ้าแปดเปื้อน

          ท่านอาจารย์ ก็ไม่สามารถตามหาเจ้าพบได้ เเต่เขารู้มาว่าเจ้าจะแอบเข้ามาร่วมในงานชุมนุมประตูแห่งน้ำพุอมตะนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเลย เพียงเเค่เจ้าเปิดเผยถึงสถานะของเจ้าแล้ว นิกายทั้งหลายมีหรือที่จะกล้าปฏิเสธเจ้า

จากนั้น หวูจิงหวู่ ก็หันกลับดูเหมือนพยายามเรียกหาคนอื่นมาช่วย

เฉินเหลียน กล่าวอย่างเย็นชาว่า "หวูจิงหวู่ ถ้าเจ้าทำอะไร โม่บ่อกี้ ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเเน่  ข้า เฉินเหลียน เมื่อพูดแล้วต้องทำตามที่พูดแน่"

ท่าทีของ หวูจิงหวู่ เปลี่ยนไป หน้าตาดูบิดเบี้ยวทันที เขาหันไปหา โม่บ่อกี้ และถามว่า "ชายผู้นี้เป็นใคร"

โม่บ่อกี้ หันไปหา เฉินเหลียน และพูดว่า "ศิษย์พี่เฉิน ข้าขอตัวก่อน  เราคงจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งถ้าเราโชคดี"

ด้วยเหตุนี้ โม่บ่อกี้ จึงหันหน้าไปหาย่านเอ๋อ โดยไม่สนใจ หวูจิงหวู่ เลย
"บ่อกี้ เกิดอะไรขึ้น?" ติงบู้เอ้อ รีบวิ่งเข้ามา

โม่บ่อกี้ มองไปที่ ติงบู้เอ้อ อย่างขึงขังและพูดว่า "บู้เอ้อ พยายามให้ดีที่สุด ในอนาคตหากเจ้าได้เข้าร่วมนิกาย ชีวิตเจ้าจะดีขึ้น"

"ตกลงหลังจากการทดสอบของข้าเสร็จสิ้น  ข้ารีบกลับทันทีติงบู้เอ้อ ไม่รู้ว่า ย่านเอ๋อ เป็นใครแต่เขาก็พอคาดเดาได้

...

เมื่อโม่บ่อกี้กลับมาที่ห้องของเขา เขาจึงช่วยทำความสะอาดร่างกายของ ย่านเอ๋อ ทันที เขาไม่คิดว่า ย่านเอ๋อ จะลงเอยแบบนี้ แต่เมื่อมองไปที่หน้าตาที่ผอมโทรมของนาง เขารู้ทันทีว่าถ้าหากไม่ได้พบนางในงานชุมนุมประตูแห่งน้ำพุอมตะ เขาจะไม่มีโอกาสได้พบนางอีกตลอดไป

หลังจากที่ ย่านเอ๋อ สิ้นสติไปนางก็เอาแต่เรียกหา "นายน้อยอย่างต่อเนื่อง โม่บ่อกี้ รู้ว่า ย่านเอ๋อ ต้องตามหาเขานี่คือความมุ่งมั่น... ความพยายามนี้ได้พานางมาจนถึงที่นี่

โม่บ่อกี้ ได้ต้มโจ๊กให้ ย่านเอ๋อ และให้ป้อนแก่นาง หลังจากที่นางหลับไปเขาก็ออกไปซื้อสมุนไพรมาเป็นจำนวนมากรวมทั้งเสื้อผ้าสำหรับ ย่านเอ๋อ

แม้ว่า โม่บ่อกี้ จะไม่รู้ว่า เขามีความสามารถรักษาอาการ ย่านเอ๋อ ที่เป็นอยุ่ในตอนนี้ได้หรือไม่ได้หรือไม่ แต่เขาก็ต้องลองดู

เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามดึกแต่ ติงบู้เอ้อ ยังไม่กลับมา ในทางตรงกันข้าม เฉินเหลียน ได้กลับมาที่ห้องเเล้ว

"ขอโทษด้วย ที่ข้าลากเจ้าเข้าสู่ปัญหาของข้าในตอนนั้นขณะที่นางกลับมา เฉินเหลียน ก็ขอโทษ โม่บ่อกี้ ทันที

โม่บ่อกี้โบกมือออกว่า "ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะในท้ายที่สุดเเล้วชายคนนั้นก็เป็นศิษย์พี่ของเจ้า"

โม่บ่อกี้ พูดเพื่อทำให้มันฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่เขารู้ว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก ในช่วงงานชุมนุมประตูแห่งน้ำพุอมตะ หากมีคำสั่งให้เซียนบางคนเข้ามายุ่งเรื่องนี้ เขาคงต้องตายอย่างแน่นอน ต่อหน้าเหล่าเซียน ผู้ที่เป็นอมตะชีวิตของเขานั้น มีความหมายเหมือนกับมดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น

เฉินเหลียน ได้แต่ส่ายหัวไม่อยากคุยเรื่องของ หวูจิงหวู่ อีกต่อไปเมื่อนางเห็นว่า โม่บ่อกี้ กำลังปรุงยาบางอย่าง นางจึงหันไปมองที่ห้องของ โม่บ่อกี้ และถามว่า "ข้าจะขอเข้าไปดูเพื่อนของเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้างได้หรือไม่"

"เจ้ามีความรู้เรื่องยาหรือโม่บ่อกี้ ถามด้วยความสงสัย

          เฉินเหลียน มีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า "บิดาของข้าเป็นผู้กลั่นโอสถทิพย์ระดับปฐพี"

"ผู้กลั่นยา โอสถทิพย์ระดับปฐพี คืออะไรโม่บ่อกี้ยังไม่เข้าใจ

เฉินเหลียน มองมาที่ โม่บ่อกี้ ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างแต่ไม่ได้พูดอะไร หลังจากผ่านไปสักครู่หนึ่ง นางจึงถามว่า "เจ้าไม่ใช่ผู้กลั่นยาหรือ ข้าเห็นเจ้าใช้เงินถึง สามแสนเจ็ดหมื่นเหรียญทอง เพื่อซื้ออุปกรณ์กลั่นยา แต่เจ้าไม่รู้ว่า โอสถทิพย์ระดับปฐพีคืออะไร"

          โม่บ่อกี้ ตอบด้วยความไม่สบายใจว่า "ข้าไม่ใช่ผู้กลั่นยา ที่มีใบอนุญาตหรอก ข้าลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง หลังจากซื้อส่วนผสมสมุนไพรหลายๆอย่างมา"

เฉินเหลียน ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง

          แต่นางก็ยอมอธิบายว่า "ในการกลั่นโอสถทิพย์ สามารถเเบ่งได้ถึงเก้าระดับ โอสถทิพย์ระดับที่หนึ่งถึงสาม ถูกจัดเป็นโอสถทิพย์ระดับธรรมดา ระดับที่สี่ถึงหก เป็นโอสถทิพย์ระดับปฐพี ในขณะที่ระดับเจ็ดถึงเก้าเป็นระดับสวรรค์  และที่เหนือสุดอื่นใดคือโอสถทิพย์ระดับอมตะ ด้วยความแตกต่างของระดับของโอสถทิพย์ที่กลั่นได้ ดังนั้นจึงมีการแบ่งโรงกลั่นโอสถทิพย์เป็นเก้าระดับ หรือเจ้าจะเห็นได้ว่าที่จริงมันแบ่งโรงกลั่นโอสถทิพย์ออกเป็นสามชนชั้น"

"ดังนั้น นักกลั่นโอสถปฐพี สามารถกลั่นกรองยาจิตวิญญาณอย่างน้อยระดับ สี่ขึ้นไปหรือ บิดาของเจ้าเป็นนักกลั่นโอสถเเห่งโรงกลั่นโอสถทิพย์รดับปฐพีใช่หรือไม่ น่าประทับใจจริงๆโม่บ่อกี้ ชักถาม เฉินเหลียน ด้วยคำถามมากมาย

เฉินเหลียน ก็ยิ่งพูดมากขึ้น หลังจากนั้นไม่นานนักนางก็พูดว่า "ทั้งอาณาจักรชิงฮั่น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถกลั่นโอสถระดับสวรรค์ เจ้าคิดว่า ผู้กลั่นโอสถทิพย์ระดับปฐพี เเค่น่าประทับใจหรือ?"

          โม่บ่อกี้ รีบลุกขึ้นยืนและพูดกับ เฉินเหลียน ว่า "ศิษย์พี่เฉิน โปรดช่วยข้ารักษาย่านเอ๋อด้วย"

"ที่แท้ชื่อของนางคือ ย่านเอ๋อ เป็นชื่อที่น่าฟังไม่น้อยเฉินเหลียน พูดขึ้น

นางเดินไปที่ห้องของ โม่บ่อกี้ เพราะนางก็อยากรู้ว่าผู้หญิงเเบบใดที่ โม่บ่อกี้ ให้ความห่วงใย

นางอยู่ร่วมกับ โม่บ่อกี้ มาเกือบเดือนแล้ว แม้ว่าทั้งสองคนนั้นไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์มากนัก

 แต่นางก็มีความเข้าใจพื้นฐานความคิดของ โม่บ่อกี้ นางมั่นใจว่าใบหน้าของนางนั้นงดงามไม่แพ้ใครในโลก อีกทั้งรูปร่างของนางก็มั่นใจได้ว่าผู้หญิงเก้าสิบเก้าจากหนึ่งร้อยคน จะอิจฉาใจรูปร่างของนาง

เเต่ถึงอย่างนั้น โม่บ่อกี้ ก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางด้วยความนุ่มนวล เพราะความงามของนาง

นางเห็นได้ชัดว่า โม่บ่อกี้ ให้ความสำคัญกับนางอย่างดีจนถึงกับเชิญนางไปที่ห้องเเยกของเขา ก็เป็นเพราะว่านางเข้าใจเรื่องการเพาะปลูกอย่างดี  ไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของนางเลยสักนิด

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไก่ในตำนาน : งานถ่วมหัว เเต่ผู้อ่านต้องมาก่อนอิ้อิ้
แมวอ้วน : …..งานท่วมหัว นี่เอ็งกำลังจะจบปริญญาจริงอ่ะ ลงภาษาไทยเพื่อการสื่อสารเพิ่มสักวิชาไหม?