วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Immortal Mortal บทนำ




Immortal  จอมราชันย์อมตะ

                                     ผู้แต่ง: Goose Five  ผู้แปล : ThePanda 


ฝากนิยายแปลครับ เเนวกำลังภายใน พระเอกชื่อโม่บ่อกี้เป็นนักพฤกษาศาสตร์ตายจากปัจจุบันเพราะโดนเเฟนตัวเองเเทงข้างหลังเพราะจะเเย่งผลงานที่คิดค้น ยาเปิดจุดชีพจรขึ้นมาได้ เเละไปเกิดสู่อดีตในโลกเเห่งการบ่มเพราะ ในร่างข้างเจ้าชายเมืองเหนือที่ตกอัพเป็นบ้าเเละตาย โดยไม่มีรากฐานวิญญาณสักนิดเดียว โม่บ่อกี้จะเดินในเส้นทางของผู้บ่มเพาะพลังได้ อย่างไร จะยอมอยู่อย่างขยะเช่นนั้นหรือ โปรดติดตาม
ครับ


สารบัญถึงตอนล่าสุด ติดตามในกลุ่มครับ ปักหมุดไว้อยู่

https://www.facebook.com/groups/1941675866154289/








บทที่ 1: เจ้าชายที่พ่ายแพ้


บทที่ 1: อรัมภบท

          เดอะแพนด้าทีม ไก่ในตำนานแปล แมวอ้วนเรียบเรียง

"ฮ่าฮ่า ... หลิวอิน ผมทำได้เเล้ว ผมปรับเเต่งยาสำเร็จเเล้ว ... "ภายในห้องทดลองที่ยุ่งเหยิง โม่บ่อกี้ ถือขวด*พอร์ซเลนไว้ในมือ แล้วเริ่มหะวเราะราวกับว่าเขาเป็นคนบ้า.."

ติ๊ง . . . . . . . "

ถ้วยชาใบหนึ่ง หล่นลงพื้น จนน้ำชาหกออกไปจนหมด สาวสวยคนหนึ่งในชุดกี่เพ้าสีแดงเลือดหมูยืนอยู่ข้างประตู จ้องมอง โม่บ่อกี้ ด้วยความเหม่อลอย เมื่อรู้สึกตัว เธอจึงพูดด้วยเสียงสั่นเครือ "บ่อกี้ สำเร็จไหม คุณทำสำเร็จใช่ไหม"

โม่ บ่อกี้ มองสาวสวยที่ยืนอยู่ตรงทางเข้า เขารู้ว่า เซี่ยหลิวอิน คงกำลังยกชามาให้เขาถ้วยหนึ่ง เเละเรื่องนี้ คงทำให้เธอตกใจมาก ด้วยความตื่นเต้นความตื่นเต้น เธอจึงทำ ถ้วยก็หลุดจากมือหล่นลงพื้น

" หลิวอิน คราวนี้ไม่พลาดแน่ ผมแค่ดื่มมันลงไปครึ่งขวดเท่านั้น  แต่ผมรู้สึกเหมือนกับมีไฟลุกไหม้เส้นชีพจรของผม และพวกมันกำลังค่อยๆเปิดและขยายออก   ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเราทำสำเร็จเเล้ว เเน่นอน!"

       โม่บ่อกี้ ถือขวดพอร์ซเลนก็เดินไปหาหญิงสาวคนนี้และคว้ามือของเธอ "หลิวอิน มันเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ผมทุ่มเทให้กับการค้นคว้าเรื่องยาเปิดเส้นชีพจร และผมไม่ได้ดูแลคุณอย่างที่ควร  แต่คุณก็คอยดูแลผมมาตลอด หลังจากนี้ไปเราจะแต่งงานกัน แล้วเราจะเริ่มสร้าง บริษัท ที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตยาเปิดเส้นชีพจร ผมเชื่อว่าไม่นานธุรกิจของเราจะขยายทั่วโลก"

หญิงสาวนั้นสงบลง แต่เธอก็ยังพูดด้วยเสียงที่ตื่นเต้น "คุณจดบันทึกสูตรยาไว้หรือเปล่า"

โม่บ่อกี้ พยักหน้า "หลิวอิน คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมบันทึกข้อมูลทั้งหมดไว้ในแล็ปท็อป มาดูสิ ... "

หลังจาก โม่บ่อกี้ พูดจบเขาก็หันกลับไปและเดินไปที่แล็ปท็อป

ทันใดนั้น เขารู้สึกเย็นยะเยือกและตามด้วยอาการปวดร้าวที่รุนแรงจากด้านหลัง เมื่อเห็นปลายใบมีดโผล่ออกมาจากหน้าอกของเขา เขารู้ได้ทันทีว่ามีคนแทงทะลุหัวใจของเขาจากด้านหลัง

ความเจ็บปวดทำให้เขารู้สึกมึนงงและสติของเขาเริ่มจางหายไป โม่บ่อกี้ หันไปรอบ ๆ อย่างช้าๆขณะที่มองไปที่มือที่จับมีด มันคือ เซีย หลิวอิน ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แล้วพึมพำว่า "หลิวอิน ... ทำไม? ทำไม?"

เขายังคงไม่เชื่อว่าคนรักของเขาที่เขารักมานานหลายปีจะเป็นคนแทงเขา

"ฉันขอโทษ บ่อกี้ ฉันขอโทษ ... "มือของ หลิวอิน สั่นไม่หยุด ขณะที่เดินตัวสั่นผ่านร่างของเขา เธอได้ฆ่าคนรักของเธอ เขาเป็นคนที่เธอรักมานานกว่า สิบปีและเป็นคนที่รักเธอหมดหัวใจ

น้ำตาสองหยดเอ่อล้นออกจากดวงตาของ โม่บ่อกี้ เขารู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังค่อยๆเย็นลง เขาค่อยๆสูญเสียสติของเขาและดวงตาของเขาเริ่มที่จะมืดลง อย่างไรก็ตามเขายังไม่อยากหลับตา เขายังคงจ้องมองไปที่ เซีย หลิวอิน ขณะที่เขาพูดว่า "ถ้าคุณต้องการสูตร ... ก็แค่บอกผมสักคำ ผมยินดีที่จะยกให้คุณทันที...เเต่ ทำไม"

โม่บ่อกี้ ไม่ได้หลั่งน้ำตาของเขาเพราะว่าเขากำลังจะตาย เท่าที่เขาจำได้ เขาไม่เคยร้องไห้ในชีวิตของเขา ถึงอย่างนััน วันนี้สิ่งที่เจ็บมากที่สุดไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่หลัง แต่เป็นความเจ็บปวดที่ เกิดจากการทรยศของคนที่เขารัก

บางทีแม้แต่ เซี่ย หลิวอิน ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองสำคัญแค่ไหน ในใจของโม่บ่อกี้ ถ้าเธอเอ่ยปากเพียงคำเดียว ว่าเธอต้องการมัน โม่บ่อกี้ จะยกให้เธอทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข

เซีย หลิวอิน ผู้หญิงที่เขายอมตายแทนได้ กลับแทงข้างหลังเขา ในวันที่แสนสำคัญในวันนี้

บางที คำถามบางคำถามก็ไม่มีวันได้รับคพตอบ บางที ความตายอาจไม่ได้หมายถึงการพักผ่อน ในหลุมฝังศพของเขาก็ได้  ดวงตาที่มืดมิดของเขา ได้ปิดบังน้ำตาอีกสองหยดเอาไว้

"...... " เซีย หลิวอิน เองก็หลั่งน้ำตาสองสาย และน้ำตานั้นก็หยดลงมา เเละชำละล้างคราบเลือดของโม่บ่อกี้

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เจ้าชายที่ตกอับ

"ก๊า ก๊า..!!. ." เสียงร้องของอีกาปลุกให้ โม่บ่อกี้  ตื่นขึ้น เมื่อเขายกหัวขึ้น เขาก็เห็นอีกาตัวหนึ่ง ที่บินอยู่เหนือตัวเขา หายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยเสียงระฆังที่รุนแรง

"ฉันอยู่ที่ไหน" โม่บ่อกี้ รู้สึกแปลก ๆ ดูเหมือนเขาจะนั่งอยู่บนหลุมฝังศพที่ทำขึ้นใหม่ ล้อมรอบด้วยเด็กเจ็ดถึงแปดคนคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ในหมู่พวกเขา มีเด็กสาวสวมกระโปรงสีฟ้า ถือตะกร้าไม้ไผ่ใส่ดอกไม้ยืนอยู่ข้างๆเขา

ขณะที่ โม่บ่อกี้ ยังสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เด็กสาวคนนี้ก็พูดเบาๆด้วยเสียงอ่อนโยนว่า "วันนี้ทุกคนทำได้ดีมาก แต่ไม่มีขนมหวานเหลือแล้ว วันนี้พวกเจ้ากลับไปกันก่อน แล้วกลับมาเล่นกันใหม่พรุ่งนี้"

"นี่เป็นการเล่นเป็นองค์จักรพรรดิ์ และข้ารับใช้ใช่หรือไม่ ทำไมภาพเหล่านี้จึงคุ้นตานัก"

โม่บ่อกี้ ตกใจเพราะฉากนี้คล้ายกับ ฉากสุดท้ายของนวนิยายเรื่องหนึ่งที่มีตัวละครชื่อ มู่หยงฟู่ ในตอนจบ มู่หลงฟู่ต้องกลายเป็นคนบ้า เพราะสิ่งที่เขาทำเพื่อประเทศของเขา ญาติผู้น้องที่งดงามและใจดีของเขา หวัง ยู่หยาน ทิ้งเขาไปหาผู้ชายอีกคนหนึ่ง และท้ายที่สุดสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ของเขาก็คือ คนรับใช้ที่ชื่ออาบี

ฉากนี้เป็นฉากหลังจากที่ มู่หยงฟู่ เป็นบ้าเพราะเขาสูญเสียประเทศของเขาไป ได้รวบรวมพวกเด็กๆมาเล่นกับเขา

"ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ข้าพระองค์จะกลับมาหาขนมหวานอีกวันพรุ่งนี้ ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลา... " เด็กๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้านหลังจากพูดประโยคนี้ แบบไม่พร้อมเพรียงนัก

โม่บ่อกี้ มองไปรอบๆและ สังเกตเห็นชายหนุ่มสองสามคนกำลังเดินมาพร้อม กับหญิงคนหนึ่งสวมกระโปรงสีม่วง ความงามของนางทำให้เขาลืมเรื่องในปัจจุบันไปอย่างสิ้นเชิง

ผู้หญิงในชุดกระโปรงสีม่วง ก็มองกลับมาหา โม่บ่อกี้ สายตาของนางเต็มไปด้วย ความสับสนและความสงสาร อีกทั้งยังมีแววตาแห่งความผิดหวังในตัวเขา คนอื่นๆในกลุ่ม ดูเหมือนกำลังพูดคุยกันและหัวเราะเยาะเขาชณะที่เดินผ่านหน้าเขา

"ไม่ใช่! ... "

ทันใดนั้น โม่บ่อกี้ ก็นึกถึงเรื่องราวที่น่าสยดสยอง "มันเป็นไปได้ไหม ที่หลังจากตายแล้ว ข้าก็เกิดใหม่ในร่างกายของ มู่หยงฟู่ วิญญาณของข้าไปเข้าร่างของคนอื่นเข้าหรือเปล่่า"

"แล้วทำไมวิญญาณข้าจึงเข้าผิดร่าง เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้"

เมื่อมาถึงจุดนี้ โม่บ่อกี้ ก็เริ่มปวดหัว ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ว่า หลังจากที่เขาพัฒนายาเปิดจุดชีพจรได้สำเร็จ เขาก็ถูกคนรักของเขาแทงจนตาย เมื่อคิดถึงตรงนี้หัวใจของ โม่บ่อกี้ ก็เต็มไปด้วยความเศร้า

...

เขาเริ่มปวดหัวเเละตัวสั่นอย่ารุนเเรง นั่นทำให้เขาคิดเรื่องนี้ไม่ไหวอีกต่อไป มีความทรงจำและข้อมูลมากมาย กำลังทะลักเข้ามาสู่สมองของเขา หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง โม่บ่อกี้ ก็เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ราชวงศ์ซ่งอีกแล้ว และเขาไม่ได้เกิดใหม่ในร่างกายของ มู่หยงฟู่
นี่ไม่ใช่โลก ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองราวโจว ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเฉิงตู เขาถูกเรียกว่า โม่ ชิงเหอ เป็นองค์ชายของรัฐฉินทางตอนเหนือ พ่อของเขาตั้งชื่อเขาว่า โม่ ชิงเหอ หลังเกิดจักรวรรดิ ชิงฮั่น

โม่ ชิงเหอ ไม่รู้ว่าโลกนี้ใหญ่แค่ไหน แต่เขารู้ว่าจักรวรรดิ ชิงฮั่น  ไม่ใช่อาณาจักรแห่งเดียว ทุกอาณาจักรแบ่งออกเป็นรัฐและทุกรัฐได้ถูกแบ่งออกเป็นหลายจังหวัด

โม่ชิงเหอ อยู่ในเขตภาคเหนือของเมืองฉิน ภายใต้ รัฐเฉิงตู และ เฉิงตู อยู่ใน จักรวรรดิ  ชิงฮั่น

เมื่อสิบเก้าปีก่อนปู่ของ โม่ชิงเหอ  โม่ เทียนเชิง เป็นเจ้าเมืองของเมืองฉิน หลังจากที่มาถึงเมืองเฉิงตูแล้ว เขาก็หายตัวไป ดังนั้นจังหวัดฉินจึงจำเป็นต้องมีเจ้าเมืองคนใหม่ และเจ้าเมืองจำเป็นต้องได้รับแต่งตั้งจากองค์เจ้า

ถ้าไม่ใช่เพราะการหายตัวไปอย่างกะทันหัน ของ โม่เทียนเชิง โมเทียนเชิงอาจได้ครองบัลลังก์ และสืบทอดไปยังลูกหลานโดยตรงของเขา และรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าแห่งรัฐ อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเชิง ก็หายตัวไป และไม่ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการ ดังนั้น ผู้สืบทอดต้องมุ่งหน้าไปยังรัฐ เพื่อรับสิทธิ์ในการครองราชบัลลังก์ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ และเจ้าผู้ครองรัฐ

บิดาของ โม่ชิงเหอ จึงตัดสินใจที่จะนำ โม่ชิงเหอ มายัง ราวโจว ด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรกพวกเขาต้องการหา โม่เทียนเชิง ประการที่สองบิดาของ โม่ชิงเหอ โม่ กาวย่าน ต้องการการยอมรับจากเจ้าเมืองคนอื่นๆ เพื่อจะได้รับสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากบิดา

เดิมการสืบทอดราชบัลลังก์เป็นเรื่องง่าย ไม่มีใครคาดว่า หนทางจะเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายถึงเพียงนี้ ดังนั้น บิดาของ โม่ชิงเหอ จึงต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากและวิ่งเต้นมานานกว่าสิบปี แต่พวกเขากลับยังไม่ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์สักที

บิดามารดาของ โม่ชิงเหอ เจ็บป่วยและเสียชีวิตไปเสียก่อน และ โม่ชิงเหอ ได้สืบทอดเจตนารมณ์จากพ่อของเขา ในการที่จะหวังขึ้นครองราชบัลลังก์

หลังจาก การตายของพ่อแม่ โม่ชิงเหอ และคนตระกูลโม่ ในที่สุดเงินของพวกเขาก็หมด โม่ชิงเหอ เดินทางมาหลายปีแล้วโดยไม่ได้ทำอะไร ที่มีประโยชน์เมื่อรู้ว่าราชวงศ์ฉินทางตอนเหนือถูกยึดครองโดย เจ้าเมืองเฉิงตู  โม่ชิงเหอ ก็คลั่งจนบ้า และกลายมาเป็น โม่บ่อกี้

โม่บ่อกี้ ยังจำได้ว่า สตรีในกระโปรงสีม่วง ชื่อของนางคือ เหวิน หม่านซู และพ่อของนาง เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อแม่ของ โม่ชิงเหอ

โม่ชิงเหอ และ เหวิน หม่านซู เป็นคู่รักกันตั้งแต่สวัยเด็ก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สัญญากันเช่นนั้น แต่ทุกคนก็ยอมรับว่าเมื่อทั้งสองคน เติบโตพวกเขาอยู่ด้วยกัน

นับตั้งแต่ตระกูลโม่ สูญเสียโอกาสขึ้นครองบัลลังก์ พร้อมกับการเสียชีวิตของพ่อแม่ของ โม่ชิงเหอ เเละความคุ้มคลั่งของ โม่ชิงเหอ ทุกอย่างเลือนหายไป ในขณะที่ เหวินหม่านซู เติบโตขึ้น นางก็ตีตัวออกห่างจาก โม่ชิงเหอ และเข้าไปมีความสัมพันธ์กับเจ้าชาย จากครอบครัวที่มีอิทธิพลอื่นๆ

เมื่อรู้สึกว่า หยาดน้ำตาสองหยด ได้หยดลงบนหลังมือของเขา โม่บ่อกี้ จึงเงยหน้าขึ้นจากหัวเข่า และเห็นว่านั่นคือเด็กสาวที่ดูเศร้า ที่ใบหน้าของนางมีรอยแผลเป็นอยู่

เหมือนกับที่ อาบี คอยอยู่ข้างๆ มู่หยงฟู่ เด็กสาวคนนี้ชื่อ ย่านเอ๋อ นางเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างเขา แม้ว่าฐานะของนางจะเป็นเพียงคนรับใช้ของเขาก็ตาม ถ้าไม่ใช่เพราะว่า ย่านเอ๋อ  โม่ชิงเหอ จะไม่มีวันได้เกิดใหม่ และไม่มีใครรู้ได้ว่า โม่ชิงเหอ เดิมจะตายไปนานเท่าไร

นอกเหนือจากรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนาง ย่านเอ๋อ ยังมีอาการของคนที่ขาดสารอาหาร ผมของนางทั้งแห้งกรอบและกลายเป็นสีเหลืองทั้งหมด และนางยังขาดความสดใสเช่นเด็กสาวทั่วไป

"มันไม่สมเหตุสมผล ... " โม่บ่อกี้ พูดเสียงสั่น ตระกูลโม่เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลราชวงศ์ ดังนั้นแม้ว่าบิดาของ โม่ชิงเหอ ไม่สามารถครองราชสมบัติได้สำเร็จ แต่ในประเทศที่ร่ำรวยนี้ เขาก็ไม่ควรเจ็บป่วย หรืออดตาย เพราะยากจนทำไม เขาไม่ออกจากเมือง ราวโจว และกลับไปที่เมืองฉินทางตอนเหนือ โดยเร็วที่สุด หรือว่า ไม่มีใครคอยดูแลเงินของตระกูลโม่

มีบางอย่างผิดปกติเเน่นอน

โม่บ่อกี้ เงยหน้าขึ้นแล้วเห็น ย่านเอ๋อ กำลังเช็ดน้ำตา ดวงตาของนางแดงเล็กน้อย ขณะที่นางถามเบาๆว่า "องค์ชายของข้า พวกเราสามารถกลับตอนนี้ได้หรือไม่"

โม่บ่่อกี้ ก้มหัวลงแล้วถอนหายใจ ไม่ใข่แค่ ย่านเอ๋อ แต่ยังสถานะในตอนนี้ของเขาและร่างกาย แม้แต่ในตอนที่เล่นกับเด็กๆ ย่านเอ๋อ ก็ยังสุภาพและใช้คำพูดเหมือนที่ใช้ในพระราชวัง

อย่างไรก็ตาม โม่บ่อกี้ ฟื้นตัวเร็วมาก และรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง เขามีความรู้สึกที่หลากหลายเกี่ยวกับว่า เขาควรจะรู้สึกขอบคุณหรือไม่ เมื่อเขายังไม่ตายจากความเสียใจที่คนรักของเขา เป็นผู้วางแผนฆ่าเขา หรือเสียใจที่เขาไม่สามารถกลับไปสู่โลกได้อีก

เมื่อเห็นโม่บ่อกี้ไม่ได้พูดอะไรสักครู่ ย่านเอ๋อ ก็พูดอีกว่า "องค์ชายของข้าท้องฟ้ากำลังมืดครึ้ม... "

โม่บ่อกี้ ถอนหายใจขณะที่มองไปที่ดวงอาทิตย์อันห่างไกล เขาไม่แน่ใจว่าจะเป็นเพราะเขาคิดถึง โม่ชิงเหอ หรือเพราะเขาเพิ่งเสียใจเกี่ยวกับชะตากรรมของตัวเอง ในที่สุดเขาก็พูดว่า "เรากลับกันเถอะ... "

เขาเห็นใบหน้าของ ย่านเอ๋อ ที่มองมาด้วยความประหลาดใจ ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาถอนหายใจและพูดว่า "ไปเถอะ กลับไปที่ราชวัง ... "

ต้องบอกว่าเขาต้องการที่จะยืนขึ้น เขาเอามือปัดดินบนขาของเขาออกไป แต่ถึงอย่างนั้น ขาของก็ชาเพราะไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานาน เขากำลังรู้สึกมึนงงหลังจากการนอนหลับ โชคดีที่ ย่านเอ๋อ อยู่ที่นั่นเพื่อช่วยเขา

เมื่อ ย่านเอ๋อ ช่วยพาเขาออกจากป่าทึบ  โม่วูจิ กำลังยุ่งอยู่กับการจัดเรียงความคิดที่ยังคงอยู่ในใจของเขา

"โลกนี้เป็นแบบไหนกันนะ ... " ทั้งสองเดินอย่างเงียบๆ สักสองสามนาทีต่อมา หลังจาก โม่บ่อกี้ พูดพึมพำกับตัวเอง

"องค์ชายของข้าท่านเพิ่งพูดอะไร" ย่านเอ๋อ ถามเพราะนางไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ โม่บ่อกี้ พูดก่อนหน้านี้

โม่บ่อกี้ ส่ายหัว

"ย่านเอ๋อ โปรดอย่าเรียกข้าว่า องค์ชายของข้า อีกเลย โปรดเรียกข้าด้วยชื่อของข้าเถอะ"
เพราะทั้ง โม่บ่อกี้ และ ย่านเอ๋อ จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคต จึงต้อง บอกกล่าว กันไว้บ้าง

ข้ารู้สึกไม่ดีมากๆย่านเอ๋อ ตอบอย่างตื้นตัน มือที่ถือตะฃกร้าของนางสั่นเทิ้ม และมีหยาดน้ำไหลออกจากตาของนาง

 "นายท่าน เรียกแบบนี้ท่านรู้สึกดีขึ้นหรือไม่"

โม่บ่อกี้ ตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ "บางทีข้าอาจยังไม่ฟื้นตัว หรือจำทุกอย่างได้ แต่ข้าจะไม่ทำอะไรบ้าๆ หรือเอาแต่ฝันเฟื่องเหมือนเมื่อก่อนอีก"

"แล้ว ... " ย่านเอ๋อ ดูเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็ไม่กล้าที่จะพูด

โม่บ่อกี้ รู้ว่า ย่านเอ๋อ ต้องการถามว่าเขายังคงอยากเล่นกับเด็กเหล่านี้ ในวันพรุ่งนี้หรือไม่ แต่นางกลัวว่าหลังจากเล่นเกมเหล่านี้แล้ว มันจะเตือนให้เขาระลึกถึงเหตุการณ์ในราชวงศ์ก่อนหน้านี้ และทำให้เขากลายเป็นคนบ้าอีกครั้ง

โม่บ่อกี้ หัวเราะแล้วพูดว่า "ข้าเคยใช้ชีวิตของจักรพรรดิมาก่อนแล้ว และตอนนี้เบื่อมันแล้ว พรุ่งนี้ข้าคงไม่มา พรุ่งนี้เราควรหาวิธีจะดำรงชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้ "

ย่านเอ๋อ ทิ้งตะกร้าไม้ไผ่ที่นางถือไว้  น้ำตาของนางไหลลงบนแก้มเเล้วนาง ก็ทรุดตัวลงคุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกต่อไป..

          ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

* ชื่อเรียก เซรามิกสีขาวประเภทหนึ่ง ที่มีราคาสูงและหายาก


บทที่ 2: การใช้ชีวิตเป็นเรื่องยาก


บทที่ 2: การใช้ชีวิตเป็นเรื่องยาก

เดอะแพนด้าทีม ไก่ในตำนาน แปล แมวอ้วน เรียบเรียง

โม่บ่อกี้ ไม่ได้เข้าไปช่วยดึงให้ ย่านเอ๋อ ลุกขึ้นเพราะเขารู้สึกว่า หลังจากที่ โม่ชิงเหอ ที่กลาย เป็นบ้าไป  ย่านเอ๋อ ก็ตองทนรับ ความกดดันและความทุกข์อย่างมากมาย ในขณะที่เขาทำได้เพียงแค่ มองดูเงาของสิ่งก่อสร้างมหึมา ที่อยู่ไกลๆ เเละตั้งใจว่า "ถึงแม้ว่า จะต้องเริ่มต้นใหม่ที่นี่ ก็ไม่เป็นไร"

แม้ว่าโลกนี้ จะปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ แต่ระดับของวิทยาการและเทคโนโลยี ก็คล้ายคลึงกับระดับของโลก มีระบบขนส่งสาธารณะ และอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เเต่ โม่บ่อกี้ ก็ยังคงกังวลว่าเขา จะหาเลี้ยงตัวเองให้มีชีวิตรอดได้อย่างไร

"ย่านเอ๋อ กลับกันเถอะ" เขายื่นมือออกไปแต่สายตายังคงจับจ้องกับเงาที่สูงตระหง่านนั้น ย่านเอ๋อ ที่ยังนั่งร้องไห้อยู่จึงลุกขึ้น แม้ว่า โม่บ่อกี้ จะได้ตายจากโลกเก่า และเกิดขึ้นใหม่ในโลกนี้ แต่เขาก็อาจจะไม่สามารถกลับคืนสู่ เมื่องฉินทางตอนเหนือได้

อีกอย่างคือ ตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจกับการขึ้นครองบัลังก์ แต่ โมบ่อกี้ ยังมั่นใจว่า เขาสามารถตั้งหลักปักฐานที่นี่ได้่ เพราะว่าในอดีต เขาเคยเป็นทั้งนักชีววิทยา และนักพฤกษศาสตร์ชั้นนำของโลก มันเป็นเพราะเขาสามารถสกัดสารสำคัญจากพืชหลายชนิด เพื่อสร้างยาเปิดและขายจุดชีพจร ซึ่งนั่น ทำให้คนรักของเขาฆ่าเขา  เเละเพราะเหตุนี้ เขาจึงได้เกิดใหม่ในสถานที่นี้

เเต่ โม่บ่อกี้ ก็ยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับ คุณค่าของยาเปิดจุดชีพจรของเขา ความเกี่ยวข้องของเส้นชีพจร กับพลังปราณดูค่อนข้างคลุมเครือเสมอ แม้ว่า เส้นชีพจร มักถูกพูดถึงในยาแผนโบราณของจีน เเต่ในจริง ก็มีหลายคนสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความสัมพันธ์ของ เส้นชีพจรกับพลังปราณอยู่จริง และเขียนบทความวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่ใครจะจินตนาการได้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเส้นชีพจรมีประสิทธิภาพ ไปถึงจุดที่สามารถรับความรู้สึก ความคิดเเละ อารมณ์ได้จริง พลังนั้นจะมากมายเพียงไหน

เเต่สิ่งเดียวที่ บ่อกี้ คิดไม่ถึงก็คือ คนรักของเขา ซึ่งเขาที่สาบานจะมีชีวิตร่วมกันจนกว่าความตายจะมาพราก จะฆ่าเขา จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไม หลิวหยินถึงต้องใช้มีดเเทงเขา ในช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของเขา

"ได้ค่ะ นายท่าน ... " ย่านเอ๋อ พูดหลังจากที่ควบคุมอารมณ์ได้

โม บ่อกี้  พูดออกมาอย่างไม่สบายใจว่า "ย่านเอ๋อ ข้าดูเหมือนองค์ชายหรือ  จากนี้เรียกชื่อของข้าตรงๆเถอะ อดีตคืออดีต วันนี้เราจะเริ่มต้นใหม่ ชื่อของข้าจะไม่ใช่ โมชิงเหอ อีกต่อไป แต่บัดนี้ ชื่อของข้าคือ โม บ่อกี้"

"ได้ค่ะ นายท่าน" ย่านเอ๋อ ตอบiy[อย่างรวดเร็ว

โมบ่อกี้ ไม่ได้บังคับ ย่านเอ๋อ อีก เพราะนิสัยที่ทำมานานยากเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลง "ท้องฟ้ามืดเเล้วไปเถอะพรุ่งนี้ข้าจะหางานทำ "

ถึงแม้ว่า โมบ่อกี้ ไม่กลับบ้านเกิดก็ตาม ด้วยความตายของบิดามารดา และเงินทองที่หมดไป ตระกูลโม่จึงล่มสลายลง เพราะเรื่องนั่น โม่ชิงเหอ จึงบ้าคลั่ง นอกเหนือจากการทำงานหาเลี้ยงชีพ ย่านเอ๋อ ยังต้องเล่นเกมโง่ๆ กับ โม่ชิงเหอ นั่นแปลว่า พวกเขามีชีวิตรอดได้อยุ่แล้ว แม้ โม่บ่อกี้ จะไม่ได้งานทำก็ตาม

"โธ่ นายท่านไม่จำเป็นต้องหางานทำหรอก หลังจากนี้ไป เราไม่ต้องออกมาทุกวัน ข้าสามารถหางานอื่นทำได้ เมื่อได้ยินเสียง โมบ่อกี้ บอกว่าอยากหางานทำ ย่านเอ๋อ ก็รีบห้ามเขาทันที

โม่บ่อกี้ มองไปที่ชุดที่ขาดวิ่นของ ย่านเอ๋อ และเครื่องประดับผมที่เรียบง่ายบนผมสีเหลืองของนาง  โม่บ่อกี้ ไม่พูดอะไรกับเรื่องนี้ เพราะบางอย่างก็ไม่อาจ แสดงให้เห็นได้ด้วยคำพูดลอยๆ ต่อให้ โม่ชิงเหอ ตายไป เขาก็คงไม่รู้ซึ้งถึงความยากลำบากที่ ย่านเอ๋อ ได้รับ ....

ถึงแม้จะมีประตูเมืองและกำแพงเมืองราวโจว เเต่ไม่มียามสักคนที่กำเเพงนั้น ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ทุกคนสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ประตูเมืองและกำแพงเมืองราวโจว เป็นเพียงสัญลักษณ์ ไม่ได้ใช้ในการป้องกันสงครามหรือข้าศึก

โม่ชิงเหอ มุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูประเทศของเขา เพียงอย่างเดียว และไม่สนใจเรื่องการทำงานในเมืองราวโจว เเม้เเต่น้อย  โม่บ่อกี้ ได้ทันทีจากความทรงจำอันอ่อนแอของ โมชิงเหอ ว่าชีวิตในเมืองราวโจว ยากลำบากถึงเพียงนี้

หลังจากตาม ย่านเอ๋อ ไปถึงเมืองแล้ว โม่บ่อกี้ ก็รู้สึกได้ถึงความคึกคักของเมืองราวโจวในทันที ด้วยถนนที่กว้างใหญ่ อีกทั้งยังเต็มไปด้วย ผู้คนที่มากมายสับสน เบียดเสียดกัน พร้อมกับร้านค้าที่มีไฟสว่างอยู่ทั้งสองฟากของถนน

เเต่บริเวณที่คึกคักนี้ ไม่ใช่ที่พักที่ โม่บ่อกี้ อาศัยอยู่ หลังจากที่ทั้งสองเดินข้ามถนนที่วุ่นวาย และเดินไปเกือบหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงบริเวณที่อยู่อาศัยที่แออัด ที่นี่เต็มไปด้วยแสงไฟซีดจางมืดสลัว

โม่บ่อกี้ มองเห็นพื้นที่ว่างที่พวกเขาอาศัยอยู่ได้จากระยะไกล แม้ว่าค่าเช่าที่นี่จะถูกแสนถูก จนเหมือนให้เปล่าก็ตามที เเต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะจ่ายได้ ถ้าไม่ได้ความเมตตาของเจ้าของบ้าน ที่พวกเขาอาศัย พวกเขาอาจจะไม่ได้มีที่ซุกหัวนอนด้วยซ้ำไป

"โอ้ ท่านอ๋องกลับมาแล้ว เจ้าทำได้ดีมาก" เสียงดังขึ้นขัดจังหวะ โม่บ่อกี้ ที่กำลังคิดเรื่องราวที่ต่างๆในทันที

"เจ้า ฮูเฟย หลีไปให้พ้น"  ย่านเอ๋อ ซึ่งเดินอยู่ครึ่งด้านหลังของ โมบ่อกี้ ก้าวขึ้นมาบังหน้าเขาไว้ แล้วปั้นหน้าเหมือน เสือดาวตัวน้อยกำลังโกรธ พร้อมกับดัน โม่บ่อกี้ ให้อยู่ด้านหลังนาง

ภายใต้แสงสลัวๆ โม่บ่อกี้ เห็นหนุ่มที่มีผมหยาบหนา แม้จะดูเหมือนเขาจะหวังดีต่อ โม่บ่อกี้ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะ โมบ่อกี้ ยืนอยู่กลางถนน เขาคงไม่ทำตัวแบบนี้


"น้องย่านเอ๋อ พี่ใหญ่ได้ซื้อหมูสับให้กับเจ้าครึ่งห่อ เจ้าทำเช่นนี้กับข้า มันทำให้ข้าเสียใจนะ" ฮูเฟย พูดขณะที่เเกะ *ห่อใบตอง ในมือของเขา (อาหารจีนห่อหุ้มไว้ในใบบัว / ใบเตย / กล้วย)

ท้องของ โมบ่อกี้ ก็ลั่นโครกออกมา โดยไม่ได้ตั้งใจแต่เดิม ย่านเอ๋อ ต้องการ ฮูเฟย หลีกออกจากทาง เเต่นางลังเลทันที่เห็นห่อใบบัว

"มันน่าจะดีนะ ถ้าพี่ใหญ่กับเจ้า จะไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไรกัน ... " ฮูเฟย พูดพร้อมขยับมือจะไปวางที่ไหล่ของ ย่านเอ๋อ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่างหื่นกระหายของมัน เเม้ว่า ย่านเอ๋อ จะมีร่างกายแคระแกร็น เนื่องจากโภชนาการที่ไม่ดี แต่นางยังคงมีใบหน้าที่งดงามอยู่

ตาของ ย่านเอ๋อ เต็มไปด้วยความลังเล ถ้านางอยู่ตามลำพัง นางคงไม่ต้องห่วงเรื่อง ฮูเฟย แต่วันนี้ โม่บ่อกี้ ไม่ได้กินอะไรตลอดทั้งวัน และท้องของ โม่บ่อกี้ ก็ร้องเสียงดัง นอกจากนี้ที่บ้าน ยังไม่มีอาหารเเละข้าวเหลืออีกด้วย นางควรจะทำอย่างไรดี

โมบ่อกี้ ไม่รู้ว่า ย่านเอ๋อ คิดอะไร แต่เขาไม่รอให้มือของ ฮูเฟย ได้แตะไหล่ของ ย่านเอ๋อ โมบ่อกี้ รีบเตะออกด้วยเท้าของเขา

ฮูเฟย ไม่เคยคิดว่า โม่บ่อกี้ จะทำกล้าทำเช่นนี้กับเขา โม่บ่อกี้ เตะเข้าอย่างเต็มแรงเข้าที่หน้าอกแต่ทว่า

          โม่บ่อกี้ กลับรู้สึกราวกับว่าเขาเตะใส่แผ่นเหล็ก และเขาคงต้องใช้เวลาอีกนานในการรักษาขาของเขา

"โธ่.. น่ายท่านเป็นอย่างไรบ้าง ... " ย่านเอ๋อ รีบวิ่งเข้ามาช่วย โม่บ่อกี้ อย่างรวดเร็ว

โม่บ่อกี้ มองไปที่ ฮูเฟย ที่ถูกเตะเเต่มันช่วยอะไรไม่ได้เลย โม่บ่อกี้ ตกใจมาก กับสภาพร่างกายของเขาในปัจจุบัน ที่อ่อนแอมากเหลือเกิน ไม่พอแม้แต่จะมีแรงเตะ ฮูเฟย ได้หรือว่า ฮูเฟย เป็นจอมยุทธ

"เจ้าอยากตายใช่ไหม... " ฮูเฟย ไม่ได้คิดว่า โม่ชิงเหอ ผู้อ่อนแอที่เอาแต่เพ้อฝันถึงการขึ้นเป็นอ๋อง จะกล้าต่อต้านเขาอย่างคาดไม่ถึง ฮูเฟย เดินเข้ามาด้วยความโกรธ พร้อมกับดึงมีดยาวออกมาจากเอวของเขา และรีบวิ่งเข้าหาหา โม่ชิงเหอ (ในบทนี้ ฮูเฟย รู้จักแต่ โม่ชิงเหอ โดยไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนชื่อเป็น โม่บ่อกี้ แล้ว)

ผู้เห็นเหตุการณ์หลายคน เห็นว่า ฮูเฟย พุ่งเข้าหา โม่บ่อกี้ แต่ไม่มีใครมาช่วยอะไร พวกเขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ

"ฮูเฟย รีบหยุดเดียวนี้ เจ้ากล้าฆ่าคนกลางวันแสกงั้นหรือ" หน้าของ ย่านเอ๋อ เปลี่ยนเป็นซีดขาว และนางไม่ทันสังเกตว่า ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว

"ฮาฮ่า ข้าอยากจะกำจัดเจ้าขยะนี้นานแล้ว เเละข้าโชคดีที่เจ้าขยะนี่ บังอาจต่อต้านข้าเป็นครั้งแรก แม้ว่าข้าจะฆ่ามัน ข้าก็เเค่ถูกปรับเท่านั้น ย่านเอ๋อ ข้ากำลังทำเพื่อเจ้า หากเจ้ามาอยู่กับข้า เจ้าจะได้กินอาหารดีๆ และมีเสื้อผ้าที่สวยๆใส่" ฮูเฟยพูด  เห็นได้ว่า ฮูเฟยไม่คิดจะหยุดเเม้เเต่น้อย

ย่านเอ๋อ รู้สึกกลัวมาก แต่นางไม่มีทางอื่น นอกจากใช้ร่างกายของนางเพื่อปกป้อง โม่บ่อกี้ เท่านั้น

ถึงตอนนี้ โมบ่อกี้ จึงสงบใจลงได้อย่างสมบูรณ์ จากความทรงจำของเขา รัฐเฉิงตู มีกฎหมายเช่นนี้ ไม่ว่าเจ้าจะถูกหรือผิดถ้ามีคนทำร้ายเจ้าก่อน แล้วเจ้าฆ่าเขาเจ้าจะเสียค่าปรับเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อรู้ดีว่าสายเกินไปที่จะเสียใจ โมบ่อกี้ จึงรีบดึง ย่านเอ๋อ ไปด้านข้าง เขาจ้องมองที่ ฮูเฟย แล้วพูดว่า "ฮูเฟย หากเจ้ากล้าเเตะ ย่านเอ๋อ แม้แต่ปลายเส้นผมแค่เส้นเดียว เจ้าจะตายอย่างน่าสยดสยอง"

/////////////////////////////////////////////////


ไก่ในตำนาน : จบไปอีกหนึงตอนกับ การแปล สี่ชม ฝากคอมเม้นเเละให้กำลังใจด้วยครับ หากเเปลไม่ดีไม่น่าอย่าฝากคอมเม้นบอกด้วยครับ สวัสดีครับ
แมวอ้วน : อย่ากังวลเลย ข้าคือผู้ย้อนเวลามาจากตอนที่ 77 จนกว่าเราจะเจอกันในตอนที่ 5 เจ้าแปลได้ไม่ดีจริงๆ แต่อย่ากังวลเลย ข้าย้อนเวลามาช่วยเรียบเรียงให้แล้ว วะฮะฮ่า
ผู้อ่าน : ตอนที่5ก็ไม่ได้ดีกว่าตอนนี้เท่าไรหรอก……
          ตึ้งโป๊ะ!