วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 33: ร่ำดื่มท่ามกลางเหล่าสหาย


หากชอบก็ฝากบอกต่อเพื่อนๆให้มาอ่านเป็นกำลังใจให้ผู้แปลทั้งสองคนด้วยครับ

นี้กลุ่มเฟสครับถึงตอนไวกว่าประมาณ สาม ตอนครับ


ชวนเพื่อนๆมาเข้ากันเยอะๆนะครับจะมีโปรโมชั่นให้อ่านรัวๆกันไปเลย

โปรตอนนี้ คือ หากมียอดเข้ากลุ่มถึง 200 คนภายในวันนั้น จะ อัพเพิ่ม สองตอน ไม่รวมลงประจำวัน เป็น สามตอนครับ เดียวจะมีโปรโม่ชั่นดีๆ แบบนี้ให้ได้อ่านกันเรื่อยๆครับ


https://www.facebook.com/groups/1941675866154289/



                     Immortal  จอมราชันย์อัมตะ

                  ผู้แต่ง: GooseFive  
ผู้แปล : ไก่ในตำนาน เเละเเมวนอ้วน


บทที่ 33: ร่ำดื่มท่ามกลางเหล่าสหาย

ไก่ในตำนาน และ แมวอ้วน แปล
หยวนเสินยี ไม่ได้คุยโต เหล้าที่นำมานั้นเป็นของดีจริงๆ รสชาติกลมกล่อมและทิ้งรสชาติที่อ่อนหวานไว้ในลำคออย่างยาวนาน แต่สิ่งที่ทำให้น่าทึ่งคือความรู้สึกเบาๆ ที่ความมึนเมาจะหมุนเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย โม่บ่อกี้ รู้สึกว่าเส้นชีพจรของเขาถูกกระตุ้น

          นี่เป็นเหล้าที่ดีมาก แค่เพียงอึกเดียวข้าก็รู้สึกคึกคักขึ้นมาโม่บ่อกี้ เอ่ยปากชม เขารู้ได้ทันทีว่ามีส่วนผสมทางจิตวิญญาณบางอย่างอยู่ในเหล้า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้



เมื่อได้ยิน โม่บ่อกี้ ชื่นชมเหล้าของตัวเอง หยวนเสิ่นยี ก็รู้สึกยินดีมากจึงพูดว่า "น้องโม่ รอบรู้จริงๆ เหล้าของข้านี่มาจาก ฉางอัน มีครั้งหนึ่งที่ข้าบังเอิญเข้าไปในป่าหมอกสายฟ้า ข้าไม่ได้คิดจะบอกว่าได้รับพรวิเศษอะไร ความจริงก็คือข้าได้ผลไม้แห่งจิตวิญญาณมา ข้าใช้ผลไม้วิญญาณกลั่นเหล้าได้สิบไห กระปุกนี้เป็นเหล้ากระปุกสุดท้ายของข้า แต่ว่าประปุกมันใหญ่ไปหน่อย ฮ่าๆๆๆ ... "


โม่บ่อกี้ บอกได้ทันทีว่า หยวนเสิ่นยี เป็นคนใจกว้างและมองโลกในแง่ดี เหล้าที่กลั่นจากผลไม้แห่งจิตวิญญาณจะต้องมีราคามหาศาล คนทั่วไปไม่มีทางที่จะหาซื้อได้ แต่ หยวนเสิ่นยี ก็หยิบมันออกมาเพราะเขาชอบคำพูดของ โม่บ่อกี้
ข้าละอายใจจริงๆ ทั้งๆที่เราสองคนเพิ่งจะได้พบกันโดยบังเอิญแต่ข้ากลับดื่มเหล้าของพี่หยวนแล้วโม่บ่อกี้ เพิ่งนึกได้ว่า เมืองฉางอัน กับเฉิงตู กำลังทำสงครามกันอยู่ แต่ก็ไม่สำคัญหรอก หลังจากเรื่องนี้ โม่บ่อกี้ จะไม่มีอะไรเกี่ยงข้องกับเฉิงตูอีก


หยวนเสิ่นยี่ หัวเราะน้องโม่ เจ้าทำเหมือนเราเป็นคนแปลกหน้า หลังจากที่ข้าได้ยินคำพูดของเจ้าที่ว่ามีพื้นที่ว่างเล็กๆไว้ให้ความเข้าใจ กับคนที่มีความเชื่อไม่ตรงกันทันใดนั้นข้าก็รู้สึกว่าข้าได้เจอเพื่อนสนิทแล้ว ข้ามีเรื่องที่ดีกว่าจะบอกเจ้า มันไม่ใช่กระปุกเหล้าหรอกนะต่อให้เหล้าจะดีแค่ไหนมันก็ไม่ได้ดีเท่ากับ การพบปะกับเพื่อนเก่า! "


"ไม่ว่าจะดีแค่ไหนมันก็ไม่ได้ดีเท่ากับการพบกับเพื่อนเก่า พี่หยวน น้าสิบเอ็ด  ติงบู้เอ้อ มาอีกดื่มหนึ่งถ้วย!" จิตใจของ โม่บ่อกี้ ปรอดโปร่งมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกมีความสุขและปราศจากความกังวล นับตั้งแต่เขาถูกวางอผนฆ่าโดยคนรักของเขา
คนทั้งสี่คนยกจอกขึ้น

เมื่อเขาพยายามจะเปิดชีพจรเส้นแรกความรู้สึกของเขาคือความวุ่นวายและความเร้าใจ มันไม่ใช่ความสุขที่ไม่มีวันลืม ในขณะนี้เขารู้สึกเป็นอิสระและผ่อนคลาย
หลังจากดื่มแล้ว โม่บ่อกี้ ก็อดที่จะร้องเพลงไม่ได้

"เหลือเพื่อนอีกสักกี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก
ยังเหลือมิตรถาพอยู่อีกสักแค่ไหน
วันนี้ขอแค่เพียงเราไม่ปล่อยมือไป
มิตรภาพนั้นจะคงอยู่ในหัวใจเรา
แต่พวกเราก็ยังคงจะต้องบอกลา
เขาจะขอแค่เพียงได้พบกัน
แต่ว่าบางคนก็ทำไม่ได้
ยังเป็นเพื่อนอยู่
แม้จะห่างไกลจากกันนับหมื่นลี้
ต้องแยกทางและห่างเหินไป
ไม่จำเป็นจะต้องเจอกัน
เราจะรู้ในหัวใจของเรา
มิตรภาพจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง [1]

ตอนแรกมันเป็นแค่การร้องเพลงคนเดียวของ โม่บ่อกี้ หลังจากนั้น หยวนเสิ่นยี และ คนอื่นๆ ก็จดจำเนื้อเพลงและร้องไปด้วยก้นทั้งหมด


เหวินหม่านซู่ ยืนอยู่ข้างกระโจมของ โม่บ่อกี้ และขมวดคิ้ว การได้เห็น โม่บ่อกี้ สนิทสนมกับ หยวนเสิ่นยี ทำให้นางไม่พอใจ

ก่อนหน้านี้ โม่บ่อกี้ เคยเป็นถึง รัชทายาทของเมืองเมืองหนึ่ง แม้ว่าเขาจะสูญเสียสถานะเขาก็ไม่ควรตกต่ำ ถ้าเขายังคงลดตัวแบบนี้เขาจะกลับขึ้นมาไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดของนางที่มีต่อ โม่บ่อกี้ นางคงสะบัดหน้าจากไปแล้ว บางทีนางอาจจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางก็มาเพื่อจุดประสงค์ในการช่วย ซือถูโพ สอบถามเรื่องของ 'สุภาพบุรุษจอมปลอม'
แต่เมื่อนางได้ยิน โม่บ่อกี้ ร้องเพลงแสงแห่งมิตรภาพนางตกใจมาก อาจจะบอกได้ว่านางใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของนางร่วมกับ โม่บ่อกี้ และนางเข้าใจ โม่บ่อกี้ จนถึงกระดูก แต่นางกลับไม่เคยรู้เลยว่า โม่บ่อกี้ มีพรสวรรค์ทางด้านร้องเพลง บทเพลงนี้ช่างอ่อนหวานและในเวลาเดียวกันก็เต็มไปด้วยความจริงใจ

พี่โม่เพลงนี้เป็นเพลงที่ดีจริงๆ แม้ว่าเราจะถูกขวางกั้นด้วยภูเขานับพันหรือทะเลนับล้าน มิตรภาพของเราก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงน้าสิบเอ็ดดื่มจนหน้าแดงผิวแดงไปทั้งตัว นางทำตัวเหมือนผู้ชายคนหนึ่งเดินไปทางด้านของ แล้วจับแขนของ โม่บ่อกี้ และมองเขาด้วยดวงตาที่หยาดเยิ้ม


หยวนเสิ่นยี ยืนขึ้นและยกจอกของเขากล่าวว่ามันเป็นเพลงที่ดีจริงๆ ข้าชอบมันมากเหลือเกิน เสียดายแค่เพียงไม่มีเหล้าอยู่ในเพลงนั้น มันยังไม่สมบูรณ์ มาดื่มอีกจอก

โม่บ่อกี้ ยืนขึ้นแล้วยกจอกดื่มจนหมด แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า "ถ้าจะเอาแบบนี้ งั้นข้าจะร้องเพลงอื่นให้ฟัง

วันวานจะผ่านไปเหมือนเช่นเดิม
ความสุขนั้นสำคัญเหนืออื่นใด
เหตุการณ์ผ่านไปไม่อาจหวนคืน
หลังจากลูกท้อเหี่ยวเฉาดอกไม้ย่อมผลิบาน
ชีวิตมักต้องเผชิญลมแรงและสายฝนพรำ
หยาดฝนมิอาจหยุดยั้งเราจากการดื่ม
ไม่ว่าเราจะเสียใจหรือไม่ เราก็ค่อยๆคิดไป
นี่คือช่วงเวลาแห่งมิตรสหาย จอกเหล้าจอกนี้เลอค่าที่สุด
มีจอกในมือเต็มที่สุราเต็มปรี่และร้องเพลงดัง ๆ
เพื่อนที่ดีเพื่อนที่เยี่ยมเราจะมีความสุขมากในคืนนี้
ขอบอกเลยว่าเราจะโอบกอดไหล่เพื่อนเอาไว้
ดวงตะวันจะทอแสงหลังพายุใหญ่ผ่านพ้น
ให้เราเงยหน้าขึ้นและเรียนรู้ที่จะเข้มแข็ง
เพื่อนก็คล้ายกับจอกเหล้านี้ที่อุ่นหัวใจข้า
ข้าไม่กังวลต่อสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
วันนี้เราได้มาพบกัน
ความรู้สึกความผูกพันเต็มปริ่มอยู่ในจอกเหล้า
เดือนปีผ่านไปดั่งสายน้ำ
ใครสนใจว่าเขาเป็นใครในวันวาน
... [2] "

โม่บ่อกี้ ร้องเพลงจนเสียงแหบแห้ง ทว่าเสียงแหบห้าวนี้ทำให้  เหวินหม่านซู่ ต้องตกตะลึง แม้นางจะรู้สึกพิเศษกับเพลงก่อนหน้านี้ คำร้องทุกๆคำหวดกระหน่ำลงบนหัวใจนาง จนโลหิตในหัวใจของนางเดือดพล่าน และบังคับให้เธอเข้าไปดื่มกับพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุม นี่คือความรู้สึกที่เรียกว่ามิตรภาพหรือ นางเองก็มีเพื่อนของนางเช่นกัน องค์ชายที่เก้าแห่งเฉิงตู ซือถูโพ  ลูกชายของแม่ทัพจ้าวเฟยหู่แห่งเฉิงตู จ้าวพู ลูกชายของเสนาบดีเหยาคัง เหยาผิงเฉิง นอกจากนี้ยังมีคนหน้าซื่อใจคดอย่างจ้าวซู่ ... [3]

ไม่มีสักคนไหมที่ไม่หล่อเหลา แต่หาไม่ได้สักคนที่จะให้ความรู้สึกเหมือนวีรบุรุษ แต่นางกลับไม่เคยรู้สึกว่าเลือดในกายเดือดพล่านเช่นนี้เมื่อนางอยู่กับพวกนั้น ถ้า ซือถูโพ ไม่สนใจเรื่อง พลังทานตะวัน ของโม่บ่อกี้ เขาจะยอมให้นางคุยกับ โม่บ่อกี้ หรือไม่

          "เยี่ยม ... เยี่ยม ... น้องโม่ข้าชอบเพลงนี้ ... มีจอกที่เต็มไปดด้วยเหล้าและร้องเพลงดังๆ เพื่อนที่ดี เพื่อนที่เยี่ยม เราจะมีความสุขมาก ๆ คืนนี้ ... " หยวนเสิ่นยี เข้ามาร้องเพลงกับ โม่บ่อกี้เสียงดัง

ติงบู้เอ้อ และ น้าสิบเอ็ด ก็ร่วมด้วย

เหวินหม่านซู่ ยืนอยู่นอกกระโจมเป็นเวลานาน และในที่สุดก็สลัดความคิดที่จะเข้าไปในกระโจมออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องราวในวันนี้ นางคงไม่มีวันรู้เลยว่า โม่บ่อกี้ มีความสามารถมากมายเพียงไหน แค่การร้องเพลงเล่นๆเพียงแค่สองเพลง เขาสามารถทำให้เลือดในตัวของนางเดือดพล่านและทำให้นางคล้อยตามร่วมร้องเพลงไปด้วยได้


นางเดินออกมาไกลจนไม่ได้ยินเสียงเพลงอีก เหวินหม่านซู่ ค่อยๆก้มหน้าลง นางรู้ดี มันไม่ได้สำคัญว่า โม่บ่อกี้ ร้องเพลงได้ยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญคือทั้งสองอยุ่ในโลกที่แตกต่างกันมากจนเกินไป

          ถ้าเพียง โม่บ่อกี้ มีรากฐานทางจิตวิญญาณนางก็จะคิดหาวิธีที่จะช่วยเหลือเขา แต่น่าเสียดายที่ โม่บ่อกี้ มีรากมนุษย์เท่านั้น หลังจากที่นางเข้าไปในนิกายและเริ่มฝึกฝนระยะห่างระหว่างพวกเขาก็จะกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ



ถ้าวันหน้าข้าประสบความสำเร็จในการฝึกฝนของข้าและถ้าเราจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งข้าจะมอบสมบัติมหาศาลให้เขา ข้ายังช่วยให้เขาบรรลุความฝันของเขาในการช่วงชิงราชวงศ์ฉินทางตอนเหนือได้ด้วยนางพึมพำขณะที่เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมดูเหมือนนางพบเหตุผลที่จะไปจาก โม่บ่อกี้ ได้แล้วจริงๆ


[1] เพลงนี้เรียกว่า谊之光 คุณสามารถฟังได้ที่นี่: https://www.youtube.com/watch?v=Xklq9C79f9A
[2] เพลงนี้เรียกว่า朋友的酒 คุณสามารถฟังได้ที่นี่: https://www.youtube.com/watch?v=3QAIm49rC2k
[3] ย้อนกลับไป เมื่อ โม่บ่อกี้ อยู่ใน สมาพันธ์แรงงาน


บทที่ 32: อคตินานับประการ


                                    Immortal  จอมราชันย์อัมตะ
ผู้แต่ง: Goose Five  ผู้แปล : ไก่ในตำนาน เเละ เเมวนอ้วน

ฝากคอมเมนให้กำลังใจ ด้วยครับ จะพยายามๆแปลเเละลงให้ทุกวันครับ
ชวนเพื่อนๆมาเข้ากันเยอะๆนะครับจะมีโปรโมชั่นให้อ่านรัวๆกันไปเลย
โปรตอนนี้ คือ หากมียอดเข้ากลุ่มถึง 200 คนภายในวันนั้น จะ อัพเพิ่ม สองตอน ไม่รวมลงประจำวัน เป็น สามตอนครับ เดียวจะมีโปรโม่ชั่นดีๆ แบบนี้ให้ได้อ่านกันเรื่อยๆครับ  

นี้กลุ่มเฟสครับถึงตอนไวกว่าประมาณ สาม ตอนครับ




ตอนนี้ค่อยข้างแปลยากเลยลงช้านิดนึงครับ


บทที่ 32: อคตินานับประการ
ไก่ในตำนานและแมวอ้วน แปล


ข้างกาย เหวินหม่านซู่ ยืนไว้ด้วยชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง เมื่อพวกเขายืนอยู่คู่กัน ช่างดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ดูแล้วเขาคงไม่ใช่คนงานของ เหวินหม่านซู่ อย่างแน่นอน

"นี่คือองค์ชายเก้า แห่งเฉิงตู ซือถูโพ เราเดินทางมาด้วยกัน"

แสดงว่าเขาคือลูกชายของ ตาเฒ่าซือถูเชียน จากความสัมพันธ์ของ โม่บ่อกี้ กับ ซือถูเชียน ทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับ ซือถูโพ

ซือถูโพ ยกมือขึ้นตั้งท่าคารวะทักทาย โม่บ่อกี้ อย่างดงาม โม่ "ข้าได้ยินชื่อนักปรุงยาโม่ มาเนิ่นนาน เมื่อข้าได้พบตัวจริง ถึงได้รู้ว่าที่แท้ท่านเป็นดั่งมังกรหรือพญาหงส์ในหมู่มนุษย์"





          พวกเขาเป็นศัตรูกัน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องนอบน้อม นอกจากนี้การที่เขาเห็น เหวินหม่านซู่ กับ ซือถูโพ ยืนคู่กันเหมือน โรมิโอกับจูเลียต ยิ่งทำให้ โม่บ่อกี้ อารมณ์ไม่ดี
            องค์ชายที่เก้าเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประตูอมตะ เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินว่า โม่บ่อกี้ คุ้นเคยกับปรมาจารย์ด้านพลังปราณและเขาถึงกับลืมเรื่องแย่ๆของเขาก่อนหน้านี้ไป เขาไม่ได้สงสัยในคำพูดของ โม่บ่อกี้ เลย เพราะปู่ของโม่บ่อกี้ โม่เทียนเฉิง เป็นนักเพาะปลูกที่มีพลังอย่างมาก มันเป็นเรื่องธรรมดาที่โม่บ่อกี้ จะได้รู้จักเรื่องเหล่านี้



โม่บ่อกี้ หัวเราะ "องค์ชายเก้า ข้าคิดว่าท่านคงพูดผิดไปแล้วซือถูโพ ชะงักเล็กน้อย ตามปกคิเมื่อคนระดับองค์ชายเป็นฝ่ายทักทาย โม่บ่อกี้  โม่บ่อกี้สมควรจะรีบตอบกลับด้วยความสุภาพ อย่างน้อยที่สุด โม่บ่อกี้ ก็ไม่ควรพูดจาเช่นนี้
"โอ้ไม่ทราบว่าการที่ข้าเรียกท่านว่า นักปรุงยาโม่ นั้นจะมีที่ความผิดพลาดในที่ใด" ซือถูโพ ยังคงใช้คำพูดที่สุภาพอ่อนน้อมพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยนต่อ โม่บ่อกี้
เหวินม่านซู่ รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของ โม่บ่อกี้ นางไม่เข้าใจว่าทำไม โม่บ่อกี้ จึง ตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องกับองค์ชายเก้า

โม่บ่อกี้ หัวเราะในใจคนอื่นอาจจะนอบน้อมต่อ ซือถูเชียน แต่ในสายตาของ โม่บ่อกี้ ซือถูเชียน เป็นศัตรูที่เขาต้องจัดการ เพราะ โม่บ่อกี้มั่นใจว่า ซือถูเชียน มีส่วนกับเรื่องราวการล่มสลายของตระกูลโม่

"เรียนองค์ชายเก้า ... ประการแรกข้าไม่ใช่นักปรุงยา ทุกคนรู้ดีว่า ยาเก้าชีพคืนชีวิต เป็นสิ่งที่ข้ารับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ การที่ท่านทำเหมือนยกย่องข้าในเรื่องนี้แท้จริงแล้วกลับเป็นการเยาะเย้ยข้าเท่านั้น ข้าประการที่สอง ข้าเป็นบุรุษดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรเรียกหาข้าว่า หงษ์ ประการที่สามนั้น เชื้อพระวงศ์และองค์กษัตริย์สามารถเรียกเป็น มังกร ได้แต่ถ้าเรียกหาข้าเป็นมังกรแล้ว ข้าจะต้องเป็น อ๋องแห่งเฉิงตู คำพูดของท่านค่อนข้างอุกอาจหรือไม่? ข้าไม่เชื่อว่าท่านต้องการให้ข้ากลายเป็นอ๋องแห่งเฉิงตู"

โม่บ่อกี้เพิ่งจะพูดในสิ่งที่ ซือถูโพ คิดออกมา และ ซือถูโพเองก็ลืมไปจริงๆที่ใช้คำว่า หงษ์ กับ โม่บ่อกี้ เหวินหม่านซู่ กัดริมฝีปากของนางแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา นางไม่ได้ชี้แจงข้อบกพร่องในคำพูดของโม่บ่อกี้ ขณะเดียวกันสีหน้าของ ซือถูโพ เปลี่ยนเป็นปั้นยาก  เพราะกำลังสงสัยว่าทำไมพระบิดาจึงไม่ได้ฆ่าเจ้าคนเลวคนนี้ น่าเสียนดายที่เขาทำได้แค่คิดแต่ลงมือฆ่า โม่บ่อกี้ไม่ได้

"โอ้ จริงด้วย ….จะว่าไปองค์ชายเก้าท่านก็หน้าคล้ายๆใครสักคนที่ข้ารู้จักนะ"

          เมื่อโม่บ่อกี้เห็นใบหน้าที่สง่างามของ ซือถูโพก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นปั้นยาก ในใจเขาก็รู้สึกมีความสุขมากและเขาอดที่จะยิ้มไม่ได้ ซือถูโพ ขมวดคิ้วอย่างรุนเเรงจึงหมุนตัวออกไปก่อนที่ โม่บ่อกี้จะทันพูดอะไร  เขาไม่คิดว่าโม่บ่อกี้ จะสามารถพูดเช่นนี้ได้ เหวินหม่านซู่  ก็ขมวดคิ้วด้วยเช่นกันนางรู้สึกได้ว่า โม่บ่อกี้ นั้นต่างจากที่นางเคยรู้จักมาก

โม่บ่อกี้ หัวเราะแล้วพูดว่เขามีฉายาว่า สุภาพบุรุษจอมปลอม ที่เขาได้ฉายานี้มา เพราะเขาชอบทำตัวเหมือนสุภาพบุรุษ แต่แท้จริงกลับเป็นคนกลับกลอกหลอกลวงเเต่เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในพลังปราณที่เก่งกาจมาก ”  

องค์ชายเก้ากำลังจะเดินจากไป แต่กลับหยุดลงเพราะคำพูดของ โม่บ่อกี้ เเล้วพูดว่า”  นักปรุงยาโม่ เจ้ารู้เรื่องผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวจริงๆหรือ นอกจากนี้วิชาอมตะคือพลังปราณหรือไม่  หรือมันคือวิทยายุทธที่น่าอับอายอย่างนั้นหรือ
โม่บ่อกี้ ถอนหายใจและพูดว่า "สุภาพบุรุษจอมปลอม " มีนามว่า เย่ ปู้ฉิน ตอนที่ข้าเห็นองค์ชายเก้า ข้ารู้สึกว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างท่านทั้งสองคน ข้านั้นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความลับของ พลังปราณหรอก แต่ข้ารู้ว่าสุภาพบุรุษจอมปลอมเป็นนักเพาะปลูกที่ทรงพลังมากหลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากในศาสตร์แห่ง พลัง  เขาได้เผาทำลายรากฐานของเขาไป เพื่อฝึกฝนวิทยายุทธใหม่ น่าเสียดายที่ข้ามิกล้าพอที่จะทำตามเขา 

ซือถูโพ ลดท่าทีลงและพูดกับโม่บ่อกี้ว่า "ช่วยบอกชื่อวิชานั้นกับข้าได้หรือไม่" "องค์ชายเก้าช่างน่าตกใจจริงๆ ข้ายังไม่ได้พูดอะไร แต่ท่านสามารถคาดเดาได้ว่าสุภาพบุรุษจอมปลอมได้พัฒนาวิชาที่ทรงคุณค่ามาก  แล้วเรียกว่าเคล็ดวิชานั้นว่า วิชาทานตะวัน   เเต่น่าเสียดายสุภาพบุรุษจอมปลอมไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่เขาคง จะมอบวิชาดอกทานตะวันให้แก่องค์ชายที่เก้าเป็นเเน่..เพราะ ... "
เมื่อมาถึงจุดนี้ โม่บ่อกี้ ก็หยุดชั่วคราว

ไม่ใช่แค่องค์ชายเก้า แต่แม้กระทั่ง เหวินหม่านซู่ ก็กลั้นลมหายใจของนางและมองไปที่ โม่บ่อกี้ อย่างใจจดใจจ่อ   เพราะอยากรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไรต่อไป หลังจากนั้นไม่กี่วินาที โม่บ่อกี้ ก็กล่าวต่อว่า "เพราะท่านทั้งสองคนประเภทเดียวกัน ... สิ่งที่น่าเสียดายน่าเสียดายที่ข้าไม่สนใจในการเรียนรู้วิชาดังกล่าวมากนัก  มันมีคำพูด 8 คำในตำราของเขา แต่ ข้าจำได้แค่หกคำเท่านั้น แต่ข้าก็ไม่รู้สึกเสียใจใด ๆ เพราะข้าเป็นแค่มนุษย์ที่มีรากฐานจิตวิญญาณมนุษย์สามัญเท่านั้นวิชาอันมีค่านี้ ไม่เหมาะสมสำหรับมนุษย์เช่นข้า ข้ามีอารมณ์และความปรารถนามากมาย ข้าจะเป็นผู้เพาะปลูกและแยกตัวออกจากชีวิตมรรตัยได้อย่างไร ... "
"หกคำ คำว่าอะไร ... " ซือถูโพ โพล่งออกมา

โม่บ่อกี้ มองไปที่ ซือถูโพ เขม็งและกล่าวว่า "ฝึกวิชาต้องตั้งใจ ... ข้าจำได้แค่หกคำเท่านั้น นี่คือทั้งหมดที่ข้ารู้ ขอตัวก่อน"     

โม่บ่อกี้ หันไปหา เหวินหม่านซู่ และพูดว่า "เเม่นางเหวิน ข้าข้าไม่มีอะไรจะคุยอีกแล้ว ข้ารู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ข้างๆเจ้า ลาก่อน"

เมื่อเห็นใบหน้าที่เลือนหายไปของ โม่บ่อกี้ ใบหน้าของ ซือถูโพ แสดงอารมณ์ต่างๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็บอกกับ เหวินหม่านซู่ ว่า "น้องหม่านซู่ ไม่ต้องเป็นห่วงเขา เขาไม่ได้รู้สึกหดหู่ใจแม้จะมีรากฐานของมนุษย์ ครั้งแรกที่ข้ารู้ว่ารากฐานทางจิตวิญญาณของข้าไม่ได้อยู่ในระดับชั้นสูง ข้าเสียดายมากบางที เจ้าควรจะไปคุยกับเขาต่อจริงๆ พวกเจ้าทั้งสองเป็นสหายเก่ากัน ข้าจะไปที่โรงแรมก่อน "


"บ่อกี้ ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วนัก?" เมื่อเห็นการกลับมาของโม่บ่อกี้ ติงบู่เอ้อ ยิ้มถาม

"มีเรื่องให้คุยกันไม่มากหรอกพื้นฐานของพวกเรามันแตกต่างกัน" โม่บ่อกี้ตอบเบาๆแล้วเริ่มช่วยสร้างกระโจม มีคนมากเกินไปที่จะมุ่งหน้าไปที่ ฉางลู่ มีผู้เข้าร่วมประชุมอีกหลายคนเข้าพักที่กระโจมริมหาด
"พี่ชายข้าชอบคำพูดของเจ้า!" เสียงที่ฟังดูน่าฟัง มันเป็นของชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่มีหนวดเคราขนาดใหญ่ที่ปกคลุมใบหน้าของเขา ข้างหลังเขาเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์

หาก เหวินหม่านซู่ เป็นแอปเปิ้ลเขียวที่สุกแล้วหญิงสาวคนนี้คือแอปเปิ้ลสีแดงที่สุกและน่าสนใจ ถ้าไม่ใช่เพราะฝุ่นบนเสื้อผ้าของนาง นางดูน่าจะเป็นคนชั้นสูง

ชายเคราดกคารวะ โม่บ่อกี้แล้วพูดว่า "ข้าชื่อ ยวนเสินยี นี่คือสหายของข้า น้าสิบเอ็ด คำพูดของเจ้านี่ล้ำลึกจริงๆ ข้ามีเหล้าดีอยู่ ถ้าเจ้าจะไม่รังเกียจ เรามาแบ่งกันคนละถ้วยนะ"  

โม่บ่อกี้ หัวเราะ "แน่นอนข้าไม่รังเกียจหรอกข้าชื่อ โม่บ่อกี้ และสหายของข้าคนนี้คือ ติงบู้เอ้อ พวกเราตั้งกระโจมเสร็จแล้วเข้ามาสิ"

/////////////////////////////////////////////////////////

ไก่ในตำนาน : รู้ไหมอะไรเป็นตัวการทำให้โลกร้อน
แมวอ้วน : คนไง คนตัดต้นไม้เยอะโลกเลยร้อน คนเป็นตัวการ
ไก่ในตำนาน : ผิด! หมีต่างหากละที่เป็นตัวการ
แมวอ้วน : ทำไมเป็นหมีอ่ะ
ไก่ในตำนาน : เพราะว่าหมีคั่วโลก โลกเลยร้อน  แฮร่!!

ตึ้งโป๊ะ!


วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 31: การเปลี่ยนแปลงของโม่บ่อกี้




หากชอบก็ฝากบอกต่อเพื่อนๆให้มาอ่านเป็นกำลังใจให้ผู้แปลทั้งสองคนด้วยครับ


นี้กลุ่มเฟสครับถึงตอนไวกว่าประมาณ สาม ตอนครับ


ชวนเพื่อนๆมาเข้ากันเยอะๆนะครับจะมีโปรโมชั่นให้อ่านรัวๆกันไปเลย

โปรตอนนี้ คือ หากมียอดเข้ากลุ่มถึง 200 คนภายในวันนั้น จะ อัพเพิ่ม สองตอน ไม่รวมลงประจำวัน เป็น สามตอนครับ เดียวจะมีโปรโม่ชั่นดีๆ แบบนี้ให้ได้อ่านกันเรื่อยๆครับ  


https://www.facebook.com/groups/1941675866154289/



บทที่ 31: การเปลี่ยนแปลงของโม่บ่อกี้
ไก่ในตำนาน และ แมวอ้วน แปล

"เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่เเล้ว ..รึ" เฉาเฮ้า คว้าดาบที่อยู่บนเอวของเขา

"ท่านอ๋องน้อย ได้โปรดอย่ามีโทสะจนเกินไป มิฉะนั้นอาจจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากได้" หยางหยูซ่งรีบเข้ามาขวาง เฉาเฮ้า


ในบรรดาเพื่อนร่วมกลุ่มทั้ง 4 คนจากรัฐเฉิงตู หยางหยูซ่ง เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ดี เพราะเขายิ้มเเย้มอยู่เสมอและเขาก็ไม่ออกอาการแม้กระทั่งกับยามเฝ้าตะกูลเช่น โม่บ่อกี้

หลานชายของ เฟิงเฉิง,  จื่อฉางเหอ เข้ามาแนะนำ เฉาเฮ้า ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่บรรดาอัจฉริยะของ จักรวรรดิ์ชิงฮั่น รวมตัวกันในการเดินทางไปยัง ฉางลู่ หากทำให้เกิดความวุ่นวายที่นี่อาจจะโดนลงโทษได้ การลงโทษที่ขนานเบาจะเป็นการถูกตัดสิทธิและถูกบังคับส่งกลับตะกูล ในทางกลับกันอาจโดนลงโทษขนานหนักจะถูกสังหารอย่างไร้ปราณีไม่ว่าเป็นผู้ใดจะเป็นเจ้าชายหรืออัจฉริยะจาก รัฐเฉิงตู มันไม่มีค่าอะไรในจักรวรรดิ ชิงฮั่น อันยิ่งใหญ่

เฉาเฮ้า แค่นเสียงออกทางจมูก จ้องมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราดไปที่ โม่บ่อกี้ จากนั้นเขาก็หันกลับไป และเดินไปที่โรงเตี้ยม เฉาเฮ้า รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถก่อเรื่องได้ในที่นี้
"โม่บ่อกี้ ถึงเจ้าจะอยากช่วยคุณหนูไม่ได้หมายความว่า เจ้าจะทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้ได้  หากเจ้ายังมุทะลุเช่นนี้อีกเราจะส่งเจ้ากลับไปที่ รัฐเฉิงตู" เช่าหลานกล่าวขึ้นเพราะไม่พอใจกับการกระทำของโม่บ่อกี้


ฮั่นหนิง ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน แม้ว่านางจะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม  เเต่ยังเห็นได้ชัดว่านางเห็นด้วยกับคำพูดของเช่าหลาน

โม่บ่อกี้ ยิ้มและไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อเขาให้หญ้าอัคคีสองใบกับ ฮั่นหนิง  นางก็รู้สึกขอบคุณเขาอยู่บ้าง เเต่อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกของนางก็ลดลง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม โม่บ่อกี้  ไม่อยากเป็นสหายกับผู้คนจากตะกูลใหญ่ พวกเขาอยู่ในตำแหน่งสูง มักมองข้ามชนชั้นอื่นๆในโลกไป เป็นเหตุผลให้พวกเขาทำตัวเย่อหยิ่งและไม่ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกัน

พวกเขาจะทักทายเจ้าด้วยรอยยิ้มถ้าเจ้าให้ผลประโยชน์ เมื่อผลประโยชน์หายไปรอยยิ้มนั้นก็จะหายไปเช่นกัน พวกเขาจะไม่จำไม่ได้ว่าเจ้าเคยทำอะไรให้พวกเขาการเดินทางไปยังเมืองหลวงคือรางวัลที่น ฮั่นหนิงให้กับ โม่บ่อกี้ แต่ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาด นางก็พร้อมจะริบคืนรางวัลนี้ และลงโทษเขาทันที นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน แต่เป็นความสัมพันธ์ของนายกับข้าทาส


โม่บ่อกี้ เติบโตมาในโลกปัจจุบัน เขาจึงไม่ยอมรับความสัมพันธ์ฉันท์นายกับข้าทาส ไม่ช้าก็เร็วเขาจะไปจากจาก ฮั่นหนิง ก่อนหน้านั้น เขาจะทุ่มเทความสามารถที่มีเพื่อ ฮั่นหนิง พระคุณของ ฮั่นเฉิงอัน อาจสร้างโดยไม่เจตนาและไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่ถึงกระนั้น โม่บ่อกี้ก็ต้องตอบแทน

"ทำไมพวกเราไม่ตั้งกระโจม ในเมื่อเราจะต้องอยู่ที่นี่อีกสามวัน" ฮันหนิงพูดขณะที่นางเดินตาม เฉาเฮ้า และพวก เข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง


"รอก่อน... " หลังจาก ฮั่นหนิงกับเช่าหลาน เข้าไปในโรงแรม โม่บ่อกี้และพวกอีกสองคนก็ถูกสั่งให้หยุด

        "
เฮ้ย แบบนี้หมายความว่าไง?" เผิงเหมาฮัว ทำหน้าไม่พอใจเมื่อถูกสั่งให้หยุด


โม่บ่อกี้ รู้จักคนที่ขวางทางอยู่นั่นคือ เฮ่อเฟิง หนึ่งในผู้ติดตามของ เฉาเฮ้า

       
ฮั่นหนิง จึงถามกับ เฉาเฮ้า ว่า "เฉาเฮ้า นี่ทันหมายความว่ายังไง?"


ก่อนที่ เฉาเฮ้า จะพูดอะไร พนักงานโรงเตี๊ยมก็ออกมาพูดว่า "ลูกค้าที่รักทางเรารู้สึกเสียใจจริงๆแต่ โรงเตี๊ยมยู่ไห่ ของเรามีห้องพักไม่พอ ห้องพักที่ว่างมีเพียงห้าห้องเท่านั้น ผู้ติดตามทั้งสามคนนี้ถ้าไม่พักทางด้านนอกก็ต้องพักที่ห้องเก็บของ"


ฮั่นหนิงกวาดสายตาไปที่ หยางจุ้นสง "หยางจุ้นสง เจ้าเป็นคนดูแลเรื่องจองที่พัก ทำไมคนในห้องของข้าจึงไม่ได้ห้องเหมือนกับคนอื่น เจ้ามัวทำอะไรอยู่ ไปหาห้องว่างสิ"
เฉาเฮา พูดว่า "เหอะ! มันเป็นไปไม่ได้หรอก หรือเจ้าจะให้พวกข้ากับคนของข้าที่มาถึงก่อน ต้องออกไปนอนข้างนอกแทนพวกเจ้า?"


หยางจุ้นสง ถึงกับทำตัวไม่ถูกเขาทั้งอึดอัดและอับอาย แล้วจึงพูดกับ เฉาเฮ้า ว่า "jานอ๋องน้อย พวกเราก็เป็นคนบ้านเดียวกันเดินทางมาด้วยกัน เหตุไฉนท่านจึงไม่ให้คนของท่านแบ่งที่พักให้พวกเราบ้าง"


เฉาเฮ้า วางแผนที่จะพูดมาก่อนอยู่แล้วจึงตอบไปว่า "จะทำยังไงได้ล่ะ ... ถึงข้าจะทำให้คนของข้าเบียดเสียดกัน แต่ก็มีที่พอสำหรับแค่สองคนเท่านั้น สำหรับคนที่ ... เข้มแข็งและกล้าหาญ ก็อยู่ข้างนอกไป"


ทุกคนรู้ว่า เฉาเฮ้า จงใจหาเรื่องกับ โม่บ่อกี้


ฮั่นหนิง เป็นอัจฉริยะที่ได้รับการสนับสนุนและถือได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะ แม้ว่านางจะไม่พอใจที่ โม่บ่อกี้ ทำผิดต่อ เฉาเฮ้า แต่นางก็ยังไม่ยอมเฉาเฮ้า เจ้าแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้"


ทุกคนรับรู้ได้ทันทีว่า ฮั่นหนิง กำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา โดยเฉพาะ เฉาเฮ้า  แต่ดูเหมือนเขาจะไม่แยแสอะไร ยังคงพูดต่ออย่างใจเย็นว่า "น้องหนิง ตระกูลของพวกเราก็มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่คิดพาเจ้าไปพบ ท่านลู่ปรมาจารย์อมตะ ข้าช่วยเจ้าโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน เจ้าจะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่พวกเราเพียงเพราะคนคนเดียวรึ"

หลังจากได้ยินคำพูดของ เฉาเฮ้า ฮั่นหนิง ก็สงบลงเหมือนลูกหนังที่โดนปล่อยลม ความโกรธเกรี้ยวของนางดับลงขณะที่นางยังคงนิ่งเงียบ


ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเธอก็หันไปหา โม่บ่อกี้ และพูดว่า "บ่อกี้มันอาจจะทำให้เจ้าต้องลำบากสักหน่อย แต่เจ้าคงต้องสร้างกระโจมและพักอยุ่ด้านนอก" พูดจบนางก็เบือนหน้าหนีไปและไม่ได้พูดอะไรอีก


โม่บ่อกี้ ยิ้มและไม่ได้ใส่ใจ ระหว่างทางไปเมืองหลวงเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วย ฮั่นหนิง เมื่อพวกเขาไปถึงเมืองหลวง เขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนางอีก


บ่อกี้ รอเดี๋ยว... ข้าไปกับเจ้าด้วยติงบู้เอ้อรีบพูดขึ้น นอกจากนี้เขายังหันไปหา ฮั่นหนิง และพูดว่าคุณหนู ข้าขอไปพักร่วมกับ บ่อกี้


ตามแต่ใจเจ้าเถอะฮั่นหนิง ค่อยๆพูดประโยคนั้นออกมา และรีบเดินไปที่โรงเตี๊ยม

เหมาเผิงฮัว ลังลังเลเล็กน้อย แต่เขาเลือกที่จะเข้าไปพักในโรงเตี๊ยมกับ ฮั่นหนิง และคนอื่นๆ

หลังจากออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว โม่บ่อกี้ ก็โอบไหล่ ติงบู้เอ้อ แล้วพูดว่า "บู้เอ้อ เจ้าได้นอนในห้องพักก็ดีแล้วจะมานอนกระโจมกับข้าให้ลำบากทำไม"


บู้เอ้อ หัวเราะบ่อกี้ เจ้าจำไม่ได้เหรอว่าทำไมข้าถึงได้เดินทางมาครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ารึ ข้ามั่นใจว่าหลังจากเราได้ไปที่เมืองหลวง แล้วคุณหนู ได้รับเลือกโดยนิกายแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรให้ข้าทำอีก คราวก่อนในป่าหมอกสายฟ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ได้พบหญ้าอัคคีสองใบโดยบังเอิญ เพราะข้าไม่ได้ติดตามคุณหนู ข้าแค่ติดตามเจ้าเท่านั้น  ฉะนั้นอย่าบอกให้ข้ากลับไปที่ เฉิงตู เพราะข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่กลับไปอีกเหมือนกัน"


"บู้เอ้อ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะมีอนาคตที่สดใสเเน่นอน  หากเจ้ายังเลือกที่จะติมตามข้าไป" โม่บ่อกี้พูดหยอกออกมา

โม่ชิงเหอ …” เสียงสดใสเสียงหนึ่งขัดจังหวะการพูดคุยของเขากับ บู้เอ้อ

        "โอ้ เป็นเจ้าจริงๆแม่นางเหวิน โชคดีเหลือเกินที่ได้พบกันที่นี่ เจ้ายังงดงามเหมือนเดิม แต่ข้าอยากขอให้ แม่นางเหวิน อย่าเรียกหาข้าโดยใช้ชื่อเดิมของข้าได้หรือไม่ ข้านั้นเปลี่ยนไปใช้ชื่อ โม่บ่อกี้ แล้ว" หลังจากออกจากเมือง ราวโจว แล้ว โม่บ่อกี้ รู้สึกเหมือนปลดภาระออกจากตัวเขา เขาไม่ต้องกังวลหรือกลัวคำพูดและการกระทำของเขาอีก เขาไม่ได้คาดหวังว่า เหวินหม่านซู่ จะมาที่เมืองหลวง  เหมือนฮั่นหนิง นางดูเหมือนจะเข้าร่วมในงานประตูอมตะช่วงฤดูใบไม้ผลิ


"อั๊ยหย๊า .. บ่อกี้ มันจะไม่ทันนะ ข้าว่าข้าควรจะไปหาทำเลตั้งกระโจมไว้ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนพวกเจ้าคุยกันไปก่อนนะ" ติงบูู้เอ้อ เห็น โม่บ่อกี้ และ เหวินหม่านซู่ พูดคุยกันดังนั้นเขาจึงหาข้ออ้างที่จะออกมา เขารู้เรื่องราวของ โม่บ่อ่กี้ และเรื่องลำบากใจระหว่าง โม่บ่อกี้ และ เหวินม่านซู่

"ขอโทษนะ ที่ข้าเผลอพูดออกมา" เหวินหม่านซู่ พูดออกมาด้วยความเสียใจ

นางมีข้อสงสัยมากมายในใจ นางมั่นใจว่านางเข้าใจ โม่บ่อกี้ มากกว่าใคร ๆ แต่ในสองครั้งสุดท้าย ที่นางนั้นได้พบกับ โม่บ่อกี้ นางรู้สึกเหมือนกับว่านางไม่รู้จักเขาอีกแล้ว นางเห็นว่า โม่บ่อกี้ เปลี่ยนไปอย่างมาก ในสหภาพแรงงานเฉิงตู  นางรู้สึกว่า บ่อกี้ เหมือนมีดที่เกาะเต็มไปด้วยแป้ง แต่ตอนนี้ โม่บ่อกี้ เหมือนมีดที่ใส่อยู่ในฝัก


"บ่อกี้ ... เราคุยกันได้ไหม?"เหวินหม่านซู่ พูดในความเป็นจริงนางต้องการคุยกับ โม่บ่อกี้ มานานมากแล้ว


นับตั้งแต่ โม่บ่อกี้ ได้สร้างยาเก้าชีพคืนชีวิต เขาต้องไปอยู่ที่ ตำหนักของเจ้าเมือง และไม่เคยออกมา นางพยายามหาวิธีที่จะพบกับเขา แต่นางก็ทำไม่สำเร็จ นางได้ยินจากบิดาของนางว่า โม่บ่อกี้ เเจกจ่ายสูตรยาเก้าชีพคืนชีวิตออกไปเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง


นางไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงเกิดกหารเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้กับ โม่ชิงเหอ หลังจากที่เปลี่ยนชื่อ?
โม่บ่อกี้ หัวเราะอย่างอ่อนโยน "หากผู้อาวุโสของเจ้า ไม่รังเกียจเราก็สามารถพูดคุยกันได้ตราบเท่าที่เจ้าต้องการ ..."

//////////////////////////////////////

ไก่ในตำนาน: ทำไมวันนี้ถึงแปลช้า!

แมวอ้วน : ก็ วันนี้ฝนตก ไหลลงที่หน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้าง ไหมหนอเธอ
เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว สองเรายังได้เจอ เธอ ส่งยิ้มมา

ไก่ในตำนาน: "เจ้าเป็นคนกำเริบไม่รู้จักกาลเทศะวาจาพิกลพิการฟังไม่รู้ความจิตใจหยาบกระด้างไม่มีเมตตาข้าทาสบริวารไม่เอาการเอางานขี้คร้้านตัวเป็นขนดีแต่แต่งตัวนั่งชะม้อยชายตาหน้าขาวน่ารำคาญ"

แมวอ้วน : แหม่ ด่าซะเถียงไม่ทันเลย ตึ้งโป๊ะ!