วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

บทที่ 48: พระนครหลวงฉางลู่

บทที่ 48: พระนครหลวงฉางลู่
ไก่ตุ๋นเห็ดหอม และ แมวป่วย แปล

หลังจากที่ได้รับคะแนนสะสม สองร้อย คะแนนแล้ว โม่บ่อกี้ และ หยวนเสิ่นยี ก็กลับไปที่ห้องพักรวม

เมื่อ โม่บ่อกี้ กลับมาถึงเขาก็พบว่าจากเดิมห้าสิบคน เหลือเพียงสามสิบคนเท่านั้น ภายใต้การโจมตีเพียงหนึ่งครั้งของอสูรทะเล สี่ในสิบส่วน ของคนในห้องนี้หายไป

บรรยากาศในห้องก็ตึงเครียด เมื่อ โม่บ่อกี้ และ หยวนเสิ่นยี เข้ามาเกือบทุกคนลุกขึ้นยืน ใบหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความเคารพและยำเกรง พวกเขารู้ดีถึงความโหดเหี้ยมและการต่อสู้ที่แสนป่าเถื่อนของ โม่บ่อกี้ คนเดียวลำพังฆ่าจระเข้สายฟ้าตายสอง  ประโยคนี้กลายเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ของคนธรรมดาที่ไม่ใช่อาจารย์เซียน ซึ่งถูกยกย่องในการศิลปะการต่อสู้

"นี่มันหมายความว่าอะไร" โม่บ่อกี้ ไม่เข้าใจที่ทุกคนทำความเคารพเขา

"พี่ใหญ่โม่ ท่านฆ่าจระเข้สายฟ้าหกขาจริงๆหรือ" ตัง ปอเซียน เดินเข้ามาถามด้วยเสียงค่อนข้างดังแต่นุ่มนวล
ในดวงตาของเขายังมีแววของการเคลือบแคลงสงสัยยากจะเชื่ออยู่ ที่เขากล้าถามก็เพราะคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ โม่บ่อกี้ ไม่เลวนัก

โม่บ่อกี้ หัวเราะ "นั่นมันก็แค่ข้าดวงดีเท่านั้น หยวนชี่ ไปไหนเสียล่ะ"

ตังปอเซียน สีหน้าห่อเหี่ยวลงทันที "หยวนชี่ กลับมาไม่ได้"

โม่บ่อกี้ ได้แต่ถอนหายใจในใจ ชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับดวงจริงๆ ทั้งสติปัญญาและความว่องไว ตังปอเซียน เทียบไม่ได้กับ หยวนชี่ แต่อนิจจา หยวนชี่ ไม่มีโอกาสได้กลับมา แต่ ตังปอเซียน กลับปลอดภัยไร้อันตราย

ครั้งแรกที่คนในห้องพักรวมได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ โม่บ่อกี้ พวกเขายังพูดคุยกันถึงความน่าเชื่อถือ แต่หลังจากได้ยิน โม่บ่อกี้ ยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเองห้องก็เงียบลงอีกครั้ง

"ขอบคุณพี่ใหญ่โม่..." ฉินเซียงหยู ที่อยู่ในกระโจมของนางก็ออกมาแล้วโค้งคำนับต่อ โม่บ่อกี้ เสียงของนางเต็มไปด้วยความกตัญญูและความชื่นชมอย่างลึกซึ้ง

โม่บ่อกี้ รู้ดีว่านางคงได้เห็นแผนการของเขาที่ใช้กับชายเสื้อแดง เขาจึงพยักหน้าให้นาง ก่อนหันหน้าเข้าหากลุ่มคนแล้วพูดา "ข้าต้องพักผ่อนแล้ว ข้าเชื่อว่าพวกเราทุกคนทำได้ดี"

ในห้องพักรวมแห่งนี้ คำพูดของ โม่บ่อกี้ เป็นเหมือนดั่งคำสั่งขององค์จักรพรรดิ หลังจากได้ยินคำพูดของเขาแล้วทุกคนก็กลับไปหาจุดพักของตัวเอง ห้องทั้งห้องเงียบกว่าเมื่อก่อนมากและทุกครั้งที่พูดกันพวกเขาก็ใช้วิธีกระซิบ

ทุกคนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เพราะในห้องพักรวมคนน้อยลงไปยี่สิบคน แต่เป็นเพราะ โม่บ่อกี้ ชมชอบความเงียบสงบ


อาจเป็นเพราะคำเตือนของ ฉู่ว่านเอ๋อ หรือความจริงที่ว่า โม่บ่อกี้ ไม่ได้มีค่าพอที่จะต้องเสียเวลา แต่เช่าเฟิงก็ไม่ได้มาหาเรื่องกับ โม่บ่อกี้อีก

หลังจากรู้ราคาของคู่มือการเพาะปลุกแล้ว โม่บ่อกี้ ก็เลิกคิดเข้าร่วมการประมูล แม้ว่าหมื่นเหรียญทองที่เขามีอยุ่ แม้ว่าจะดูว่าเยอะมาก แต่ยังห่างไกลจากราคาของตำราพื้นฐานการเพาะปลูกมากมายนัก

ตลอดการเดินทางบนเรือ ได้เกิดการโจมตีจากเหล่าอสูรทะเลอีกมากมาย น่าเสียดายที่มัน ไม่ถูกโจมตีด้วยจระเข้สายฟ้าหกขาอีก อีกทั้งไม่มีการโจมตีขนาดใหญ่เลย โม่บ่อกี้ จึงไม่ได้ฝึกฝน แต่ความสำคัญของเขาคือการปรากฎตัวขึ้นหลายต่อหลายครั้งเพื่อจัดการปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆร่วมกับ หยวนเสิ่นยี แม้พวกเขาจะไม่อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ แต่พวกเขาสามารถยึดพื้นที่และตรึงสถานการณ์ไว้ได้

ทั้งสองคนฆ่าอสูรทะเลไปเป็นจำนวนมาก น่าเสียดายที่อสูรทะเลเหล่านี้ไม่อาจเทียบกับจระเข้สายฟ้าหกขาได้เลย โม่บ่อกี้ จึงเพิ่มคะแนนสะสมได้เพียงห้าสิบคะแนนลงในบัตรสีส้มเท่านั้น

หลังจากสองเดือนที่ผ่านมามีคนเหลือเพียงยี่สิบคนในบ้านพักรวมของ โม่บ่อกี้ที่เหลือรอดชีวิตมาได้เมื่อ เรือทะเลใบไม้ผลิ ถึงเมืองหลวง ฉางโจว ในเมืองหลวงของราชวงศ์หมิง

เมื่อเรือทะเลใบไม้ผลิเข้าฝั่ง ทุกคนที่อยู่ในเรือลุกขึ้นรอไปที่ดาดฟ้า แม้กระทั่งเหล่าอาจารย์เซียนก็ไม่สามารถอดทนรอได้

หลังจากสองเดือน แห่งการต่อสู้และเผชิญหันภัยอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่รอดชีวิตจนสามารถเห็นแผ่นดินได้นั้นย่อมตื่นเต้นกันทุกคน

โชคดีที่เหล่าอาจารย์เซียนไม่คิดจะสนใจดูแลกลุ่มคน ที่กำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ หากมีใครเกิดสะดุดล้มลงไปคงต้องถูกเหยียบจนจายแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะมาดูแลหรือคิดจะหยุดเลยจริงๆ

 
ในเวลาเพียงครึ่งก้านธูปคนในเรือครึ่งหนึ่งได้ลงจากเรืออย่างรวดเร็ว โม่บ่อกี้ และ หยวนเสิ่นยี ไม่เข้าไปเบียดเสียดกับฝูงคน พวกเขาเพียงแต่เดินช้าๆอยู่ทางท้ายกลุ่ม พวกเขาอยู่ใน ฉางลู่ แล้วทำไมต้องรีบร้อน

หลังจากที่มาถึง ฉางลู่ แล้วเจ้าก็มีอิสระที่จะทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ แต่ข้าจะอยู่กับ จี้ซิงและเข้าร่วมงานชุมนุมประตูอมตะ ต่อจากนี้ , "หยวนเสิ่นยี รู้ดีว่า โม่บ่อกี้ ไม่มีรากฐานทางจิตวิญญาณอีกทั้งไม่ต้องการที่จะร่วมทางกับเขา และ โม่บ่อกี้ เฝ้ารองานประตูอมตะฤดูใบไม้ผลิ

แต่แท้จริงเเล้วโม่บ่อกี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่กับหยวนเสิ่นยีและจี้ซิง เขาต้องการที่จะหาสถานที่ที่จะพำนัก  ก่อนที่จะไปทดสอบรากฐานทางจิตวิญญาณของเขา ตอนนี้เขาเปิดสามจุดชีพจรเเต่มันก็ยังไม่ชัดเจนว่าเขาจะมีรากฐานทางจิตวิญญาณที่ดีขึ้น นอกจากนี้แม้ว่าเขาจะไม่มีรากฐานทางจิตวิญญาณเขายังคงต้องการที่จะลองวิธีการทั้งหมดที่เป็นไปได้ที่จะได้รับตำราพื้นฐานการเพาะปลูกและพยายามกระตุ้นแก่นพลังสำคัญของสายฟ้าภายในร่างกายของเขา

ในเวลาเดียวกันโม่บ่อกี้ ยังคงจะเข้าร่วมงานชุมนุมประตูอมตะอยู่เช่นเดิม เพราะบางที ถึงเขาจะไม่สามารถเข้าเป็นศิษหลักได้เเต่อย่างน้อยทุกนิกายก็ยังรับศิษบริการสายนอกได้ การเป็นศิษบริการ(ศิษสายนอกหรือศิษรับใช้)คงไม่เลวร้ายนัก

"พวกเราคงต้องเเยกทางกันเเล้ว เเล้วหากข้าต้องการพบพวกเจ้าล่ะ" โม่บ่อกี้ รู้ว่า หยวนเสิ่นยี และ จี้ซิง ต่างจากเหมือนเขา พวกเขาทั้งสองมีที่พักพิงที่เป็นหลักแหล่ง

"พี่บ่อกี้ เสิ่นยีกับข้า จะพักอยู่ที่ โรงเตี้ยมสันโดษ หากท่านต้องการพบ เสิ่นยี ท่านไปพบเขาได้ที่นั่น" จี้ซิง ตอบคำถามของ โม่บ่อกี้
หลังจากสองเดือนบนเรือลำเดียวกัน เขารู้ดีว่า โม่บ่อกี้ แข็งแกร่งแค่ไหน ในบรรดายามและผู้คุ้มกันส่วนบุคคล มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถฆ่าจระเข้สายฟ้าหกขาได้เหมือน โม่บ่อกี้ ถ้า โม่บ่อกี้ มีรากฐานทางจิตวิญญาณเขาจะยอมลดตัวลงเพื่อจะได้คบหากับ โม่บ่อกี้

แต่น่าเสียดายที่ โม่บ่อกี้ ไม่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ มันไม่สำคัญว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน สุดท้ายเขาก็จะต้องตกตายไปอยู่ดี หลังจาก จี้ซิง เข้านิกายและบ่มเพราะพลังสักหนึ่งปีเขาก็จะแข็งเเกร่งกว่า โม่บ่อกี้  นี่คือความจริงที่มองจากมุมมองของ การที่เขายิ้มและหัวเราะกับ โม่บ่อกี้ นี่ถือเป็นการแสดงความเคารพอย่างยิ่ง

โม่บ่อกี้ ไม่ทราบความคิดในใจของ จี้ซิง แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอะไรอยู่ก็ตาม เขาก็ไม่สนใจอะไรมากนัก หลังจากโบกมือลา หยวนเสิ่นยี กับ โม่บ่อกี้ก็หายตัวไปภายในฝูงชน

เขาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง หยวนเสิ่นยี และ ติงบู่เอ้อ  หยวนเสิ่นยีนั้น มีแผนการของตัวเองขณะที่ ติงบู่เอ้อ ก็ติดตาม ฮั่นหนิงไปที่งานชุมนุมประตูอมตะ ที่นั่น ติงบู่เอ้อก็จะมีโอกาสได้เป็นศิษย์บริการ

มีเพียงโม่บ่อกี้เท่านั้นที่ไม่รู้จะไปไหน แต่เขาก็ยังอารมณ์ดี

ในราวโจวเขากลัวอยู่ตลอดเวลาและไม่กล้าออกไปไหน ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้รับเสรีภาพ ทุกลมหาายใจของเขาจึงรู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่สุด
โม่บ่อกี้ มองกลับไปที่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่เขาเพิ่งจากมา สักวันหนึ่งเขาจะกลับไปอีกแน่นอน


ฉางลู่ - เมืองหลวงของราชวงศ์หมิงฮั่น

โม่บ่อกี้ ยังไม่ได้เข้าสู่ตัวเมือง แต่เขารู้สึกถึงความแออัดและกลิ่นที่ฉุนเฉียว ถนนที่กว้างขวางหลายแห่งถูกปูด้วยหินสีฟ้าเมื่อมองจากระยะไกลถนนดูเหมือนมังกรสีฟ้าที่ทอดตัวยาว

แต่ละถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่มากมายและแออัด  ในราวโจวอาจถือได้ว่าเป็นเมืองที่คึกคัก แต่มันก็เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับฉางลู่

หอคอยของเมืองสูงตระหง่านและประตูเมืองขนาดมหึมา หัวใจของ โม่บ่อกี้ เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ฉางลู่ นี่คือที่ที่ โม่บ่อกี้ จะยิ่งใหญ่

โม่บ่อกี้ เร่งฝีเท้าของเขาเพื่อเดินตามฝูงชน บนถนนสีน้ำเงินเข้าสู่ ฉางลู่

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
แมวอ้วน : เพิ่งเห็นเพจชื่อ แมวอ้วน ไม่ใช่ผมนะ
ไก่ในตำนาน : โม่บ่อกี้ จะเก่งขึ้นอีกแล้วไม่นานนี้

แมวอ้วน : ไอ้ ไก่ต้มมะระ เอ็งสปอล์ยไม่เกรงใจข้าเลยนะ  แง่มๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น