บทที่ 51: พื้นฐานการเพาะปลูก
ไก่ในน้ำแดง และ
แมวป่วย แปล
"ท่านกรุณาช่วย ให้ข้าดูตำรานั้นได้รึไหม"
โม่บ่อกี้ ถอนหายใจออกมาเขาอยากสัมผัสกับตำราเคล็ดวิชานี้มาก
เขาไม่มีทางเลือกอื่น
เพราะว่าจำนวนเงินที่พกมานั้นมีเพียงเเค่สามารถซื้อ
ตำราระดับมนุษย์เล่มนี้เท่านั้น
"ไม่มีปัญหา" ผู้ดูเเลนำ
ตำราเคล็ดวิชาเซียนมนุษย์ ออกจากชั้นวางกระจกและส่งให้กับ โม่บ่อกี้ ด้วยรอยยิ้ม
เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นกับเคล็ดวิชาอื่นๆ แต่ถ้าเป็นตำราเคล็ดวิชาเล่มนี้
เขาตัดสินใจเองได้
ขณะที่ โม่บ่อกี้ กำลังตั้งใจจะเปิดตำรา ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็หัวเราะออกมาว่า
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าขอแนะนำก่อนว่า
หากเจ้าต้องการมีความก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังของเจ้าในระยะยาว มันจะดีกว่าหากเจ้าสะสมคะเเนนเพื่อมาซื้อ ตำราที่ระดับมนุษย์
ที่มีคุณภาพสูงกว่า เคล็ดวิชาเซียนมนุษย์ที่ว่านี้
เป็นเเค่ชื่อที่ใช้ในร้านนี้เท่านั้น เมื่อเจ้าออกจากร้านเเห่งนี้มันจะมีชื่ออื่น
"
"ชื่ออื่น ชื่ออะไรรึ
" โม่บ่อกี้ ถาม
ชายวัยกลางคนชี้ไปที่ตำราในมือของ โม่บ่อกี้ "เมื่อใดที่เจ้าเปิดตำราเล่มนี้แล้วเจ้าจะรู้ชื่อที่เเท้จริงของมัน"
ด้วยเหตุนี้ โม่บ่อกี้ รีบพลิกเปิดตำรา ด้านล่างของคำว่า "เคล็ดวิชาเซียนมนุษย์"
มีอักษรตัวเล็กไม่กี่คำเขียนอยู่ว่า "พื้นฐานการเพาะปลูก"
เมื่อ โม่บ่อกี้ เห็นสามคำนี้เขาแทบจะกระอักเลือดออกมา
ถ้าชายวัยกลางคน คนนี้ไม่ได้เตือนเขา เขาจะต้องซื้อตำราเล่มนี้
ยิ่งไปกว่านั้นหากใครถามเขา เขาจะตอบว่าเขากำลังฝึก เคล็ดวิชาเซียนมนุษย์
ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นตัวตลกไปทันที
ผู้ดูเเลเห็นว่าเรื่องราวไม่เป็นไปตามที่คาด
เขาจึงรีบพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า "นี่เป็นเทคนิคพื้นฐานที่สุดของการเริ่มต้น
ถ้าเจ้าฝึกด้วยเทคนิคนี้แม้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนเป็นเทคนิคอื่นในอนาคตจะไม่มีผลเสียหายใดๆทั้งสิ้น
เข้ารับรองได้ว่าไม่มีเคล็ดวิชาใดที่มีพื้นฐานดีมากกว่านี้ อีกเเล้ว"
โม่บ่อกี้ ตอบกลับอย่างรุนแรงว่า "แน่นอนว่าจะไม่มีผลเสียใดๆ
เเต่ข้าได้ยินว่าการฝึกฝึเคล็ดวิชานี้ ต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก
เมื่อถึงเวลาที่ข้ามีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนไปฝึกเคล็ดวิชาอื่นๆ
ข้าไม่กลายเป็นตาแก่ใกล้ตายหรอกรึ"
ผู้ดูแลหัวเราะเบาๆออกมา แต่ไม่ได้โต้เเย้งกับสิ่งที่
โม่บ่อกี้ พูด
ชายวัยกลางคนพูดอีกครั้งว่า "ที่จริงสิ่งผู้ดูเเลพูดนั้นก็ไม่ผิด
ถึงแม้เคล็ดวิชาจะใช้เวลาฝึกฝนเป็นเวลานานในการฝึกฝน
แต่มันก็ผ่านการสืบทอดมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนแล้ว
และได้ผ่านการปรับเเต่งเป็นอย่างดีจนทำให้ไม่มีที่ติ
เมื่อใดก็ตามที่เจ้ามีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่มีคุณภาพสูงกว่าเจ้าก็สามารถเปลี่ยนวิชาได้ทุกเมื่อ
"
โม่บ่อกี้ พลิกฝ่ามือเพื่อเปิดตำรา ผู้ดูเเลไม่ได้โกหกเรื่องเนื้อหา
เคล็ดวิชานี้มีรายละเอียดสูง
ไม่ใช่เฉพาะการระบุอย่างชัดเจนว่าจะหมุนเวียนพลังจิตวิญญาณอย่างไร
แต่ยังแสดงแผนภาพแสดงทิศทางการไหลภายในช่องทางจิตวิญญาณ นอกจากนี้ยังมีการแนะนำส่วนประกอบต่างๆที่เกี่ยวกับเครือข่ายช่องทางในร่างกายด้วย
โม่บ่อกี้ ไม่เคยบ่มเพาะพลังมาก่อนและไม่มีใครเคยสอนเขาถึงวิธีการ
ตำแหน่งและชื่อของช่องจิตวิญญาณ ซึ่งมันเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา
มันมีอะไรที่มากว่าทิศทางของการไหลกระเเสพลังภายใน
ผู้ดูแลร้านค้าได้เอาหนังสือเล่มอื่นออกมาและยื่นส่งให้ โม่บ่อกี้ "เพื่อนข้าถ้าท่านซื้อเคล็ดวิชาเซียนจากข้า
ข้าจะแถมหนังสือแนะนำช่องทางจิตวิญญาณนี้ให้ท่านไปด้วยเปล่าๆ"
โม่บ่อกี้ ปิดหนังสือด้วยการบอกกับผู้ดูแลร้านค้าว่า "ท่านไม่ต้องพูดถึงตำราเซียนเล่มอื่นแล้ว
ที่ข้าต้องการซื้อตอนนี้คือพื้นฐานการเพาะปลูก บอกราคาต่ำสุดที่ท่านสามารถขายได้มา
จริงอยู่ว่าข้ามีเพียง สองร้อยห้าสิบคะแนน ข้าต้องเพิ่มเงินอีกเท่าไร
สำหรับคู่มือเล่มนี้และของแถม"
โม่บ่อกี้ ใจร้อนมาก เขาจะซื้อตำราได้หรือจะต้องออกจากร้านมือเปล่า
จำนวนเงินที่เขามีอาจจะซื้ออะไรออกมาไม่ได้เลย
เมื่อได้ยินว่า โม่บ่อกี้ ตั้งใจที่จะซื้อพื้นฐานการบ่มเพาะพลังนี้
ผู้ดูเเล เดินเข้ามาหาด้วยยิ้มและกล่าวว่า "เพียงแค่เพิ่มเหรียญทองอีก
เจ็ดหมื่น...เหรียญ "
"ข้าจะเพิ่มให้อีก ห้าหมื่นหรียญทอง
ถ้าเจ้ายินดีที่จะขายมันให้ ข้าจะเอามันออกไปทันที หรือมิฉะนั้นข้าจะไปที่ร้านอื่น
"โม่บ่อกี้ พูดโดยไม่ลังเล
เมื่อหักค่าพักโรงเตี๊ยม เขาเหลือเหรียญทองอยู่ประมาณ
หนึ่งแสนเหรียญเท่านั้น เขาจะต้องรักษาและประหยัดเงินจำนวนนี้ให้มาก
ตอนแรกเขารู้สึกว่าเงิน หนึ่งแสนเหรียญทองเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่หลังจากเดินเข้าไปในร้านนี้
โม่บ่อกี้จึงรู้ว่าเขายากจนยิ่งกว่าขอทาน
ในอัตราเงินเช่นนี้เขาจะต้องหาวิธีหาเงินเพื่อซื้อหาอาหารแล้ว
"ขาย" ผู้ดูแลร้านค้าขายเคล็ดวิชาเซียนมนุษย์และตำราแนะนำช่องทางจิตวิญญาณ
ให้โม่บ่อกี้ โดยไม่ลังเลใจ
โม่บ่อกี้ เอาบัตรสมาชิกส้มออกมาจ่าย
สองร้อยห้าสิบคะแนนแล้วหยิบตั๋วแลกเงิน ออกมาจ่ายสำหรับ ห้าหมื่นเหรียญทอง
ในที่สุดเขาก็ได้เคล็ดวิชาการเพาะปลูก(ตำราเซียน)ในฝันของเขา
ไม่ต้องรอต่อไปอีกนี่เป็นพื้นฐานของการเพาะปลูก
โม่บ่อกี้ห่อหนังสือทั้งสองเล่มแล้วซุกไว้ในอกเสื้อ
แล้วตัดสินใจหาที่แห่งหนึ่งเพื่อทดสอบรากฐานทางจิตวิญญาณของเขา
ก่อนจะกลับไปดูว่าเขาสามารถปลูกฝังได้หรือไม่
เมื่อโม่บ่อกี้กำลังจะจากไป เขาหันกลับไปมองหาชายวัยกลางคน
ที่ยังไม่จากไป ชายผู้นี้ไม่รู้จัก โม่บ่อกี้ แต่ก็ยังช่วยอธิบายให้หลายๆเรื่องให้
ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้อยู่ที่นี่เพื่อรอพบเขา แต่เขาเพิ่งมาถึงเมืองฉางลู่
"ขอบคุณพี่ชายสำหรับคำอธิบายทั้งหมด
ข้าสังเกตเห็นว่า ท่านเองก็อยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว
ไม่ทราบว่าท่านจะออกไปด้วยกันกับข้าหรือไม่ "โม่บ่อกี้
ถามอย่างสุภาพ
ชายวัยกลางคนยิ้มและพยักหน้า "คราวนี้ข้าไม่ได้ช่วยอะไรมากมายและเจ้ายังซื้อคู่มือฉบับนี้ในท้ายที่สุด
แต่เจ้าพูดถูกต้องต้องเเล้ว ข้าอยู่ที่นี่เพื่อรอเจ้า
"
โม่บ่อกี้
ไม่ทันพูดอะไร ชายกลางคนก็ชิงพูดว่า "นี่เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงตัวสำหรับศิษย์บริการของ
นิกายดาบไร้ลักษณ์ "
ปฏิกิริยาของ โม่บ่อกี้ ชาด้านไปทันทีและถามด้วยความสงสัยว่า "แต่ข้าไม่เข้าใจว่า
ทำไมท่านจึงมอบสัญลักษณ์นี้ให้ข้า"
ชายวัยกลางคนตอบด้วยเสียงอบอุ่นว่า "ไม่ต้องคิดมาก ฉินเซียงหยู
มอบสัญลักษณ์นี้ให้ข้า นางขอให้ข้าช่วยส่งมอบมันให้เจ้า ถ้าเจ้าไม่อยากจะใช้มัน
ก็เก็บมันเอาไว้กับตัว บางทีมันอาจจะมีประโยชน์กับเจ้าบ้าง"
ฉิน เซียงหยู โม่บ่อกี้ นึกออกทันทีถึงผู้หญิงที่เคยอยู่ข้างๆเขา
ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะเป็นคนธรรมดา แต่นางก็มีเสน่ห์ที่แตกต่าง
นางน่าสนใจยิ่งนัก สัดส่วนของร่างกาย ที่สมบูรณ์แบบ ไม่เพียงเเค่สวยงาม
แต่ยังทรงคุณค่า บางทีนี่อาจเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเสน่ห์
เขาช่วยนางได้อย่างสะดวกสบายในตอนแรกใครรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะจำเขาได้แม้กระทั่งให้ชื่อของศิษย์ให้บริการภายในนิกาย
เรื่องนี้ไม่มีเหตุผล ฉินเซียงหยู เป็นคนรับใช้เหมือนกับเขา
นางจะได้รับสัญลักษณ์สำหรับสาวกบริการจากนิกายเซียนแบบนี้และสามารถมอบให้กับเขาได้แบบนี้ได้อย่าง
ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะรู้ถึงความคิดของ โม่บ่อกี้
ชายวัยกลางคนจึงอธิบายว่า "น้องชายของ เซียงหยู เทียนเฉิน
เป็นศิษย์อันดับสองของผู้อาวุโสสายตรงของ นิกายดาบไร้ลักษณ์
ได้ออกจากตะกูลมานานกว่าสิบปีแล้ว เนื่องจากมีการจัดงาน ชุมนุมประตูน้ำพุอมตะ
พวกเขาจึงได้พบกันและนางก็ได้รับสัญลักษณ์จากเขา"
โม่บ่อกี้ เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมนางจึงได้รับสัญลักษณ์มาอย่างง่ายดาย
"เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว ข้าก็ขอลาละ" ชายวัยกลางคนไม่ได้แนะนำตัวเองและหลังจากที่ โม่บ่อกี้ ได้รับสัญลักษณ์แล้วก็อำลาเเละจากไป
หลังจากที่ชายคนนั้นจากไป โม่บ่อกี้ ดึงผู้ดูเเลมาถามว่า "ข้าถามหน่อยว่า
นิกายดาบไร้ลักษณ์อยุ่ในระดับอะไร
ผู้ดูเเลมองไปที่สัญลักษณ์ในมือของโม่บ่อกี้
ด้วยความชื่นชมแล้วตอบว่า "แม้นิกายดาบไร้ลักษณ์
อาจจะไม่ใช่นิกายที่ดีที่สุดในแถบนี้
แต่อย่างน้อยที่สุดก็อยู่ในมาตรฐานขั้นต่ำของระดับปฐพี "
เป็นเพียงนิกายระดับปฐพีที่มีมาตรฐานขั้นต่ำเท่านั้น โม่บ่อกี้
รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณ ฉินเซียงหยู อย่างมาก
โลกใบนี้อาจมีหลายคนที่เก็บความแค้นไว้ในใจ แต่มีน้อยนักที่ไครจะจำความปรารถนาดีของคนอื่นได้
โม่บ่อกี้ เก็บสัญลักษณ์ไว้
เเละตัดสินใจที่จะยังเข้ารับการทดสอบรากฐานทางจิตวิญญาณของเขา
ถ้าเขามีรากฐานทางจิตวิญญาณและมีคุณภาพที่ดีแล้วเขาก็อาจจะมีโอกาสได้ไปร่วมงาน
ชุมนุมประตูน้ำพุอมตะ
เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นเขาจะไม่เป็นแค่เพียงศิษย์บริการหรือกระทั่งศิษย์สายนอก
////////////////////////////////////////////////////////////////////////
แมวอ้วน : เสดแล้วว้อย!
แล้วตกลงจะตั้งชื่อทีมแปลว่าอะไรอ่ะ
ไก่ในตำนาน :
โอ้มดตะนอยต่อยตูด
แมวอ้วน : เอิ่ม งั้นเอา “เดอะแพนด้าทีม” ละกัน ขอบตาดำหมดละเนี่ย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น