วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 60: พลังเท่านั้นจึงจะได้ความเคารพ

บทที่ 60: พลังเท่านั้นจึงจะได้ความเคารพ

เดอะแพนด้าทีม ไก่ในเน็ตเน่า และ แมวง่วง แปล
โม่บ่อกี้ หมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว ทั้ง สี่คนที่พายเรือก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงมากนัก เมื่อเห็นว่า โม่บ่อกี้ หมดแรงจะตอบโต้แล้ว จี้กวง และคนอื่นๆ ก็ช่วยกันพายเรืออย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าเรือยางมีความต้านทานต่อการโจมตีจากสายฟ้าในระดับที่ดี แต่ด้วยจำนวนครั้งในการโจมตีก็สร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างของมัน ซึ่งทำให้มันดูไม่น่าปลอดภัยนัก  อีกทั้งความเสียหายทั้งหมดยังเกิดขึ้นตลอดเวลาในช่วงที่ฝนตก

แต่ยังดีหลังจากที่ โม่บ่อกี้ ฆ่าจระเข้สายฟ้าไปได้มากกว่าสิบตัว เหลือเพียงสองสามไล่ตามพวกเขามา ที่สำคัญจระเข้พวกนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากฝีมือของ โม่บ่อกี้

เมื่อ โม่บ่อกี้ หยุดการโจมตีของเขาลง เรือยางได้เร่งหนีออกไปอย่างรวดเร็วและทิ้งพวกจระเข้ได้รับบาดเจ็บสาหัสไว้ที่เดิมของมัน เมื่อพวกมันมองไม่เห็นเรือก็เลิกราไปเอง

จระเข้สายฟ้าเป็นอสูรที่แปลกประหลาดมากกว่าชนิดอื่นตรงที่พวกมันมีความสามารถเพิ่มขึ้น ตามความโกรธ ยิ่งโกรธแค้นมากขึ้นความคล่องแคล่ว และความแข็งแกร่ง ของพวกมันจะเพิ่มขึ้นด้วย

แต่ตอนนี้พวกเขารู้จักพวกมันดีแล้ว นอกจากจะเผชิญกับการรุมโจมตีอย่างหนักแล้ว พวกเขาก็รู้วิธีที่จะต่อสู้ไม่จำเป็นต้องหนีอย่างเดียวอีก

ประมาณสองชั่วโมงต่อมาพายุก็หยุดลงและพวกเขาก็มาถึงเกาะเล็กๆ ที่มีความกว้างประมาณห้าร้อยเมตร โม่บ่อกี้ ฟื้นพลังมาได้บางส่วน แต่ตอนนี้ จี้กวง และพวกอีกสามคนกลับยอมพ่ายแพ้ต่อความเมื่อยล้าแล้ว

"พี่โม่ พวกเราเป็นหนี้ท่านอย่างมากสำหรับเรื่องนี้ พวกเราจะขอพักผ่อนสักครู่หนึ่ง วิงวอนท่านโปรดช่วยลากเรือขึ้นมาและซ่อนไว้ในแนวปะการังที"จี้กวง เป็นคนแรกที่ปีนขึ้นไปบนเกาะได้ แล้วหันมาเรียก โม่บ่อกี้ ว่า พี่โม่ เมื่อมาถึงที่นี่ แม้ว่า โม่บ่อกี้ จะมีอาการบาดเจ็บรุนแรงและความรู้สึกบางส่วนขาดหายไป แต่ โม่บ่อกี้ ก็ยังคงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม

"บ่อกี้ ข้าไม้รู้จริงๆว่าเจ้าทนไหวได้ยังไง" ติงบู้เอ้อ ได้แต่หอบหายใจทางปาก เขาสูญสิ้นเรี่ยวแรงหลังจากเดินขึ้นเกาะแทบจะไม่มีแม้แต่แรงจะยกแขนขึ้นด้วยซ้ำไป เก้าจิ้น และ ซุนลี่อัน มองไปที่ โม่ บ่อกี้ ด้วยความหวาดกลัวและความคิดไม่ดีต่างๆต่อ ดม่บ่อกี้ ก็หายไปจนหมดสิ้น

สิ่งที่พวกเขาทำได้ทั้งหมดก็แค่ใช้พลังกายเท่านั้น เเต่ โม่บ่อกี้ กลับทำหน้าที่เสมือนโล่ให้พวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะมีเขาคอยป้องกันการโจมตีทั้งหมดจากด้านหลัง  จระเข้สายฟ้าจะล้อมรอบเรือยางและโจมตีพวกเขาทั้งหมดได้
"พี่ชายจี้ ใช่นั่นหรือไม่" โม่ บ่อกี้เห็นเกาะขรุขระในระยะไกล แต่เขามองเห็นได้ไกลเพียงประมาณหนึ่งร้อยเมตร

โม่บ่อกี้ ไม่ได้อธิบายถึงวิธีที่เขาทนทานการโจมตีของจระเข้สายฟ้าได้ อันที่จริง หลังจากสู้กับจระเข้สายฟ้าแล้วครั้งหนึ่งอาจจะดูไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บพวกเขาไว้อีก จี้กวง กับคนอื่นๆอาจจะไม่ต้องการพวกเขาแล้ว แต่แน่นอนว่ายังคงมีความเป็นไปได้ที่จะต้องเจอกับจระเข้สายฟ้าอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการอยู่รอดของพวกเขา

"ถูกต้องแล้ว นี่เป็นสถานที่ที่ข้าเคยมาก่อนหน้านี้ มีไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับสถานที่เเห่งนี้ บ่อกี้ สิ่งที่เจ้าทุ่มเททำลงไปนั้นน่านับถืออย่างที่สุด อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถเก็บซากของจระเข้สายฟ้าได้ เนื่องจากเรือยางแล่นเร็วเกินไป เพราะเหตุนี้หากเราจะพบไข่ของ เสือดาวทะเลมีปีก สองใบเจ้าจะได้รับไข่ใบเเรก" จี้กวง พูดด้วยความจริงใจ เขาปฏิบัติตัวกับ โม่บ่อกี้ เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

จริงๆเเล้วไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของ จี้กวง แต่เพราะว่าพลังคือทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยความสามารถในการป้องกันการโจมตีของจระเข้สายฟ้าได้เเละยังฆ่าพวกพวกมันไปกว่าสิบตัว ด้วยเรื่องนี้ส่งผลให้ โม่บ่อกี้ ดูเหมือนจะเป็นคนที่แข็งแกร่งในสายของ จี้กวง ความเเข็งเเกร่งนี้จึงได้รับความเคารพจากทุกคนในกลุ่ม

ปกติแล้ว โม่บ่อกี้ ก็ไม่เคยคัดค้านอะไร เขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อหาเก็บซากของจระเข้สายฟ้า หรือค้นหาไข่ของเสือดาวทะเลมีปีก แต่เพียงเเค่ต้องการใช้การโจมตีของจระเข้สายฟ้าเพื่อเปิดจุดชีพจรของเขาเท่านั้น ตอนนี้เป้าหมายของเขาได้ประสบความสำเร็จแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากไม่ได้ไข่เสือดาวทะเลมีปีก

"ข้าแนะนำให้ตั้งค่ายพักแรมสักคืน เเล้วออกเดินทางต่อในตอนรุ่งสางวันพรุ่งนี้" โม่บ่อกี้ พูดเพราะเห็นว่าทุกคนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากันมาไม่น้อยกับการอดหลับอดนอน และตัวเขาเองก็รู้ว่าหากต้องการค้นหาไข่ของเสือดาวทะเลมีปีก ในสถานการณ์นี้จะเป็นการฆ่าตัวตาย แม้แต่กับเขาเองก็เช่นกัน นอกจากนี้เขายังได้รับบาดเจ็บหนักซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยคืนหนึ่งในการฟื้นตัว

เกาจั้น พยักหน้า "ข้าเห็นด้วยกับแผนของพี่โม่ พักที่นี่ก่อนสักคืน ก่อนที่จะทำอย่างอื่น " แม้ว่าก่อนหน้านี้ จี้กวง ต้องการจะออกเดินทางเลย แต่เมื่อ โม่บ่อกี้ ได้พูดออกมาและ เกาจั้น ก็เห็นด้วยดังนั้นเขาจึงต้องทำตามแผนของโม่บ่อกี้

...

พายุที่โหมกระหน่ำก่อนหน้านี้ ในที่สุดก็สงบลงและสิ่งที่เหลือก็คือคลื่นทะเลที่สาดซัดไม่หยุดนิ่งที่ตีบนชายฝั่งของเกาะอย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มนอกเหนือจาก ติงบู้เอ้อ อีกสี่คนล้วนเป็นผู้เพาะปลูก ดังนั้นในขณะที่ ติงบู้เอ้อ ล้มตัวลงนอนในถ้ำเพื่อนอนหลับ คนอื่นๆในกลุ่มกลับนั่งขัดสมาธเพื่อหมุนเวียนพลังปราณ (เปลี่ยนจากพลังงานจิตวิญญาณ) ของพวกเขา ในขณะนี้มี จุดเส้นชีพจรยี่สิบเจ็ดเส้น ได้เปิดขึ้นความเร็วการฝึกฝนของ โม่บ่อกี้ ก็ก้าวหน้าอย่างมาก แม้ว่าพลังปราณจะไม่หนาเเน่มากนัก แต่ก็มีพลังทางปราณที่มองไม่เห็นอยู่รอบๆ ตัวเขา

เมื่อตื่นจากพักค้างคืน โม่บ่อกี้ ก็รู้สึกสดชื่นมากไม่เพียง แค่อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้น แต่ความเเข็งเเกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก "พี่โม่ นี่เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านกำลังเพาะปลูกด้วย คู่มือพื้นฐานของการเพาะปลูก" เมื่อทุกคนตื่นขึ้นแล้ว จี้กวง เป็นคนแรกที่พูด เขาไม่สามารถสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวใดๆ จาก โม่บ่อกี้ ในขณะที่เขาบ่มเพาะพลังอยู่ แต่จากท่าทางของเขา จี้กวง สามารถคาดเดาได้ว่า โม่บ่อกี้ เป็นผู้ฝึกฝน คู่มือพื้นฐานของการเพาะปลูก

"ถูกต้อง นั่นเพราะข้าไม่มีเงินพอที่จะซื้อเคล็ดวิชาการเพาะปลูกอื่นๆได้" พูดจบ โม่บ่อกี้ ก็หัวเราะออกมา

จี้กวง ตอบด้วยเสียงจริงจังว่า "พี่โม่ คนมีความสามารถเช่นท่าน ต้องสามารถหาเคล็ดวิชาการเพาะปลูกที่มีคุณภาพสูงขึ้นกว่านี้ได้แน่นอน ที่จริงราคาของจระเข้สายฟ้ามันสูงมาก ดังนั้นในครั้งต่อไปท่าน อาจสามารถหากลุ่มเช่าเรือและล่องเรือออกไปในทะเลเพื่อล่าจระเข้สายฟ้าหกขา ก่อนที่ท่านจะซื้อเคล็ดวิชาเพาะปลูกขั้นพื้นฐานที่ดีได้ท่านคงรู้อยู่เเล้วสินะว่า คู่มือพื้นฐานของการเพาะปลูก มีความเร็วการเพาะปลูกช้าเกินไป และต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อการเพาะปลูก มันไม่คุ้มค่าที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาดังกล่าวต่อไป "

โม่บ่อกี้ ตอบอย่างเฉื่อยชาว่า "มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ข้าสามารถเพาะปลูกได้เนื่องจากจริงๆแล้วรากฐานของข้าเป็นแค่มนุษย์ ข้าไม่สนว่าเทคนิคการเพาะปลูกของข้าจะดีหรือไม่ดีอย่างใด อีกอย่างเคล็ดวิชาการเพาะปลูกของข้าก็มีชื่อที่สวยหรูว่า เคล็ดวิชาเซียนมนุษย์ ฟังดูน่าฟังขึ้นไหม"

"ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ " จี้กวง และคนอื่นๆ ก็พากันหัวเราะเสียงดัง พวกเขาไม่อาจจะตอบโต้กับสิ่งที่ โม่บ่อกี้ พูดได้ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนละเลยความก้าวหน้าในอนาคตของเขา เพียงเพราะชื่อของเคล็ดวิชาการเพาะปลูกที่ฟังดูน่าฟัง

"บ่อกี้ เจ้าสามารถฝึกฝนตอนนี้ได้หรือ" ติงบูเอ้อ ถามเบา ๆ "เมื่อเรากลับไปเจ้าเองก็สามารถเริ่มต้นฝึกฝน เคล็ดวิชาเซียนมนุษย์ ได้อีกด้วย" โม่บ่อกี้ พูดต่อว่า "รากฐานทางจิตวิญญาณของข้านั้น มีคุณภาพต่ำมากจนเเทบไม่มี เเต่ข้าก็สามารถฝึกฝนได้ ทำไมเจ้าไม่ลองฝึกดูล่ะ" โม่บ่อกี้ ตัดสินใจว่าเขาจะช่วย ติงบู้เอ้อ ค้นหาหนทาง ที่จะเปิดช่องทางวิญญาณของ บู้เอ้อ หลังจากที่ เขาได้ทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

"ข้าสามารถเพาะปลูกได้หรือ" ติงบู้เอ้อ ถามอย่างกระตือรือร้น ปรมจารย์เซียนคือสิ่งที่มีอยู่ที่ไม่สามารถสัมผัสถึงได้ ดังนั้นตั้งแต่ โม่บ่อกี้ กล่าวว่าเขาสามารถปลูกฝังได้ ทำไมเขาจะไม่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีเล่า

จี้กวง ยิ้มและพูดว่า "ตราบเท่าที่เจ้ามีลักษณะจิตวิญญาณบางอย่างในตัวเจ้าแม้แต่กับรากวิญญาณที่มีคุณภาพที่แย่ที่สุดเจ้าก็ยังสามารถปลูกฝังได้ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเจ้าจะไปถึงเส้นทางการเพาะปลูกได้ไกลแค่ไหน"

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ติงบู้เอ้อ เหมือนกองไฟที่ได้เติมฟืน เขาอาจจะมีพื้นฐานทางจิตวิญญาณต่ำกว่าขยะสถานการณ์ของเขาแตกต่างจาก โม่บ่อกี้ ก็คือเขาไม่ได้มีโอกาสได้ทดสอบอย่างถูกต้อง เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ในหมื่นคน มีรากฐานมนุษย์ เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่มีฐานะต่ำ บรรพบุรุษทุกคนมีรากมนุษย์ โอกาสที่เขาจะมีรากฐานของมนุษย์มันมากเกินไป อย่างไรก็ตามความคิดของเขาเกี่ยวกับปัญหานี้แตกต่างจาก โม่บ่อกี้ เขารู้สึกเเตกต่าง โดยเฉพาะเมื่อเขาไปถึงเมืองหลวงซึ่งมีผู้คนจำนวนมากที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของ ติงบู้เอ้อ ที่่มอดไหม้ไปแล้วตอนนี้กลับได้รับการเติมเชื้อไฟจนลุกโชนขึ้นอีกครั้ง การเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ถูกรังแก ทำให้เขากลับมามีความมุ่งมั่นอีกครั้ง

          "ไปกันเถอะ" หลังจากหนึ่งคืนที่พักผ่อนทุกคนก็ฟื้นขึ้นมาในระดับหนึ่ง จี้กวง ให้สัญญาณมือ แล้วนำทีมออกเดินทาง

บนเกาะที่มีขนาดใหญ่มากชายทั้งห้าคนเดินวนเวียนมานานกว่าสองชั่วโมง ในแนวปะการังที่มีรูปร่างแปลกๆ และโขดหิน "ถ้ายังเดินรวมกลุ่มแบบนี้พวกเขาจะสำรวจได้ไม่ทั่ว" โม่บ่อกี้ คิดและเขาตั้งใจจะถาม จี้กวง ที่กำลังนำทางอยู่ แต่เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องทำให้ตกใจขึ้น

โม่บ่อกี้ เป็นคนแรกที่หมอบลงกับพื้นขณะที่กำลังตรวจสอบหาแหล่งที่มาของเสียงกรีดร้อง ซุนลี่อัน ซึ่งเงียบมาตลอดเวลานี้ เกิดมีรอยแผลขนาดใหญ่มีเลือดไหลเป็นสาย เห็นได้ชัดเจนบนไหล่ขวาของเขา

"ทุกคนอย่าขยับ มันเป็นลูกศรจาก อสูรยิงศร ลูกศรที่ยิงออกมามีฤทธิ์กัดกร่อนวัตถุเมื่อเจ้าโดนยิง จะทำให้เจ้าเจ็บปวดแผลมาก มันต้อการจะทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมาน"จี้กวง ตะโกนออกมาทันทีพร้อมกับส่งยาให้กับ ซุนลี่อัน

นอกเหนือจากการกรีดร้องหลังจากโดนลูกศรแล้ว ลี่อัน พูดออกมาอย่างตะกุกตะกักฟังไม่ได้ศัพท์ เขารีบกินยาที่ จี้กวง ให้มาและเอาผงยาบางส่วนมาทาบริเวณที่มีเลือดไหลก่อนที่จะพันผ้าพันแผล ผงยามีประสิทธิภาพสูงมากเลือดหยุดทันที

          ติงบู้เอ้อ ถามเบาๆ "อสูรยิงศร อยู่ที่ไหน ทำไมข้าไม่เห็นมันสักตัวเดียว" จี้กวง ตอบอย่างจริงจังว่า"อสูรยิงศร มีฝีมือในการอำพรางตัว บางครั้งเมื่อมันปลอมตัวเป็นหิน เจ้าจะไม่สามารถแยกความแตกต่างออกจากหินจริงได้ ส่วนใหญ่ของผู้ที่ตายที่นี่ คือผู้ที่ที่มาค้นหาเสือดาวมีปีก แต่พวกเขาไม่ได้ถูกฆ่าโดยเสือดาวมีปีก แต่ถูกเหล่าอสูรยิงศรฆ่า "ทุกคนจึงมองไปรอบๆตามสัญชาติญาณ แต่ก็มีเสียงกรีดร้องอีกเสียงออกมาอีกครั้ง คราวนี้ทั้งห้าคนรู้ว่ามันไม่ได้มาจากพวกเขา

"มีคนอื่นอยู่ที่นี่" คำพูดของ เกาจั้น ออกจากปากของเขามีเงาสองสายโผล่ออกมาจากมุมของแนวปะการังข้างหน้า และมีเงาสีดำขนาดใหญ่ตามหลังพวกเขามาติดๆ เงาดำนั้นอ้าปากกว้างราวกับสามารถกลืนทุกสิ่งได้ภายในครั้งเดียว

"นั่นคือเสือดาวทะเลมีปีกใช่ไหม" ติงบู้เอ้อ ถามด้วยความหวาดกลัว เขาเห็นว่าภาพเงาดำที่กลืนกินคนได้คนหนึ่งมีหัวเป็นเสือดาว ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือสัตว์น้ำชนิดนี้มีปากที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีปีกสีดำอยู่ด้านหลัง

เเม้เเต่โม่บ่อกี้ ยังเป็นนิ่งด้วยความหวาดกลัว ใครบอกว่าพลังโจมตีของเสือดาวทะเลมีปีกอยู่ในระดับต่ำ เจ้าตัวนี้มันกินคนได้ภายในคำเดียว ทำไมถึงว่ามันอ่อนเเอ

/////////////////////////////////////////////////

          แมวอ้วน : ง่วงว้อยยยยยยยยยย……….
          ไก่ในตำนาน: มีอะไรที่แปลอยากกว่านี้อีกไหม ทำโรสแมพเคลื่อนไปหมด TOT

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น