วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2561

บทที่3 รากฐานมนุษย์

บทที่ 3: รากฐานมนุษย์
เดอะแพนด้าทีม ไก่ในตำนาน แปล แมวอ้วน เรียบเรียง

"ข้ายังเป็น เชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง ของราชวงศ์ฉินทางตอนเหนือ แม้ว่าข้าจะไม่อาจได้ครองบัลลังก์ แต่ข้าก็มีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์ เจ้ากล้าทำร้ายขุนนางรึ  ฮูเฟย ข้าขอเตือนเจ้า ไม่ว่าข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆชิ้น หรือลงฑัณห้าม้าแยกร่าง มันก็ยังไม่สาสมกับความผิดของเจ้า"

ฮูเฟย ตกใจมาก เมื่อเขารู้ว่าแม้แต่ โม่บ่อกี้ ที่อ่อนแอผู้นี้ ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์ เมื่อเขากลายเป็นชนชั้นสูง คนต่ำต้อยเช่น ฮูเฟย จึงไม่อาจแตะต้อง

ไม่ว่า โม่บ่อกี้ ยังคงเข้าใจผิดว่าตนเอง ยังมีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์อยู่จริงหรือไม่ แต่สำหรับในความคิดของ ฮูเฟย เเล้วนั้น โม่บ่อกี้ มีสิทธิ์ที่จะสั่งลงโทษประหาร ผู้ที่ทำร้ายขุนนางได้ แม้แต่การลงโทษที่โหดเหี้ยมดั่งเช่นห้าม้าแยกร่าง ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

ฮู่เฟย รู้ถึงผลของการทำร้ายขุนนางเป็นอย่างดี จึงรีบตอบอย่างเร็วว่า "องค์ชายของข้า นี่เป็นแค่เรื่องล้อเล่นกับท่านเท่านั้น ข้าหรือจะบังอาจกล้าตบตีท่าน"
 โม่บ่อกี้ เดินไปหา ฮูเฟย และหยิบมีดออกจากมือเขา

"นับว่าเป็นมีดที่ดี ... " โม่บ่อกี้ รู้ว่ามีดนี้มีความคมเป็นพิเศษ ในทันทีที่จับมัน

หลังจากที่ถูก โม่บ่อกี้ หยิบมีดไป ฮูเฟย ก็ถอยหลังไปและคอยมอง  โม่บ่อกี้อย่างระมัดระวัง

 ย่านเอ๋อ มองพวกเขาทั้งสองด้วยความหวาดกลัว แม้ว่ามีดตกอยู่ในมือของ โม่บ่อกี้ เเล้ว แต่ว่า ย่านเอ๋อ ก็รู้ว่ามันไม่ช่วยอะไร หลังจากที่อยู่กับ โม่บ่อกี้ มาเนิ่นนาน นางจึงรู้ดีว่า  โม่บ่อกี้ เป็นเพียงคนธรรมดาเพียง และยังไม่ได้ถือศักดิ์ขุนนางอีกด้วย

พูดอีกอย่างคือ ถ้า ฮู่เฟย ฆ่า โม่บ่อกี้ จริงๆ ฮู่เฟย จะถูกลงโทษด้วยการปรับเเค่เล็กน้อยเท่านั้น

โม่บ่อกี้ มองไปที่มีดที่อยู่ในมือของเขา  เเล้วจ้องตากับ ฮู่เฟย และพูดว่า "ฮู่เฟย ข้าไม่ได้อยากจะใช้ตำแหน่งของข้าเพื่อขู่เจ้า ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ตระกูลของช้าก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นเจ้าจะไม่ได้มีดเล่มนี้คืน เพราะเจ้าทำร้ายลูกหลานในพระราชวงศ์ มันเหมือนการไม่ความเคารพต่อเมืองเฉิงตู" โม่บ่อกี้ ยิ้มเล็กน้อยเมื่อพูดจบประโยค

ฮูเฟย ยังคงคิดว่าถ้า โม่บ่อกี้ เป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่เช่นนั้น ฮู่เฟย มั่นใจว่าจะจัดการได้ แม้ว่าจะมีดจะอยู่กับ  โม่บ่อกี้  ก็ตาม

แต่เมื่อได้ยินว่า โม่บ่อกี้ ยังเป็นเชื้อพระวงศ์ ความคิดของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงตอบว่า "องค์ชายของข้า ก่อนหน้านี้ ผู้ต่ำต้อยแค่ล้อเล่นกับกับท่านเท่านั้น"

ฮูเฟย ยังสงสัยว่า โม่บ่อกี้ จะลงโทษเขารุนแรงแค่ไหน

"ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นองค์ชายแล้วลุกขึ้นเถอะ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ"  โม่บ่อกี้  เก็บมีดของ ฮู่เฟย ไว้ในซอกรองเท้าของเขา

ฮู่เฟย รู้สึกปวดใจเมื่อเห็น โม่บ่อกี้ เก็บมีดเขาและเดินจากไป

มีดเล่มนั้น เป็นมีดรักที่อยู่กับ ฮู่เฟย ตลอดเวลากับ ฮุเฟย เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องสูญเสียไปในวันนี้ หากบอกว่าไม่เสียดายนั่นก็เป็นแค่การโกหกตัวเองดท่านั้น

"นายท่าน ท่านไม่..ได้มี.. " ย่านเอ๋อเดินผ่าน ฮู่เฟยอย่างระมัดระวังและเข้าไปกระซิบที่หูซ้ายของโม่บ่อกี้

โม่บ่อกี้ ขัดจังหวะและพูดว่า "ข้ารู้แล้ว ไว้คุยกันเมื่อเรากลับถึงบ้าน"

แม้ไม่มีคำเตือนของ ย่านเอ๋อ แต่ โม่บ่อกี้ ก็เดาได้ว่าเขาไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์อีกแล้ว


ที่พักของพวกเขาเล็กและคับแคบมากมีเพียงผ้าเก่าๆ ที่แยกเตียงไม้สองหลังออกจากกัน ไม่มีข้าวของมีค่าในบ้านนี้ โม่บ่อกี้ รู้ดีว่าอะไรที่มีค่าพอชายเป็นเงิน ก็จะถูกใช้โดย ย่านเอ๋อ เพื่อซื้อขนมให้กับเด็กๆ ที่เล่นกับเขา

โม่บ่อกี้ เห็นตัวเองอยู่ในกระจกที่ขุ่นมัวอยู่ข้างเตียง ตัวเขาดูคล้ายกับตัวเอง ในชีวิตเดิมก่อนหน้านี้ และผมแห้งยาวของเขาถูกผูกไว้อย่างประณีตโดย ย่านเอ๋อ แม้ว่าใบหน้าของเขาจะอ่อนเยาลง แต่มันก็ยังดูดีกว่า เมื่อเทียบกับใบหน้าผอมซีดของ ย่านเอ๋อ นอกจากดวงตาที่เหนื่อยล้า คิ้วและจมูก ที่ดูคมคายของเขา ทำให้เขาดูหล่อเหลามาก

"นายท่าน ข้าจะไปที่บ้านของป้าลู่เพื่อขอยืมข้าว ..." ย่านเอ๋อรีบพูด ตอนที่นางเดินเข้ามาในบ้าน นางยังคิดว่าว่า  โม่บ่อกี้  ควรจะเก็บห่อเนื้อหมูไว้จาก ฮู่เฟย แทนมีด

"ช้าก่อน... "  โม่บ่อกี้ ห้าม ย่านเอ๋อ ไว้

โม่บ่อกี้ถาม ย่านเอ๋อ ที่หันกลับมามองด้วยความสงสัยิ"ย่านเอ๋อ ฮู่เฟย ดูเหมือนจะเคยฝึกยุทธ เขาแข็งแรงกว่าข้า เขาดูน่าเกรงขาม แต่เขาเรียนรู้จากที่ไหน"

จากสิ่งที่ โม่บ่อกี้ จำได้ โลกนี้ไม่ใช่ที่ที่เต็มไปด้วยจอมยุทธ ทำไม ฮู่เฟย จึงได้ฝึกยุทธเมื่อลูกหลานของขุนนางเช่นตัวเองไม่สามารถที่จะร่ำเรียนได้

ย่านเอ๋อ แสดงท่าทีรังเกียจและตอบว่า "ฮู่เฟย แทบไม่ได้เรียนวิทยายุทธจากผู้อื่นเลย และเขาก็ไม่สามารถเปิดจิตวิญญาณของเขาได้ เขาจะได้รับพิจารณาให้เป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงได้อย่างไร ข้าได้ยินว่าท่านปู่ของนายท่าน จึงเป็นผู้ฝึกตนเเห่งจิตวิญญาณที่แท้จริง "

"การเปิดจิตวิญญาณคืออะไร"  โม่บ่อกี้ ถามอย่างใจจดใจจ่อ เพราะในความทรงจำของเขา นอกเหนือจากเรื่องอาณาจักรก็ ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย เป็นไปได้ไหมที่เขาคิดผิด และสถานที่แห่งนี้ยังมีวิทยายุทธอยู่

ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้น หากเป็นไปได้ เขาอยากจะออกไปเรียนวิทยายุทธเดี๋ยวนี้เลย ถ้าวันหนึ่งเขาสามารถกลับไปที่โลกเดิมได้ เขาก็จะถามเธอ(คนรักที่ใช้มีดเเทงเขา)ด้วยตัวเองว่า "ทำไม"

ย่านเอ๋อ ไม่แปลกใจที่  โม่บ่อกี้  ไม่ทราบว่าการเปิดช่องจิตวิญญาณเป็นอย่างไร สิ่งที่ทำให้ย่ำแย่มากที่สุดคือ

นายน้อย ไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อนทำไมเขาจึงอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมา

นางยังคงตัดสินใจที่จะบอกเขาทุกอย่างที่นางรู้ว่า "การเปิดจิตวิญญาณจะช่วยให้คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ สามารถกระตุ้นรากฐานทางจิตวิญญาณ และเปิดช่องทางทางจิตวิญญาณของพวกเขาได้ เฉพาะผู้ที่มีรากฐานที่ดี และช่องจิตวิญญาณเปิด จึงจะสามารถฝึกตนและเป็นจอมยุทธได้ เเละข้าได้ยินมาว่า การเปิดช่องสิญญาณในช่วงแรกมันจะบ่งบอกถึง คุณภาพที่ดีหรือเลวของรากฐานทางจิตวิญญาณ ผู้นั้น"

 โม่บ่อกี้  จับประเด็นสำคัญสองประเด็นจากสิ่งที่ ย่านเอ๋อ พูดได้ ประการแรกคือการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้หนึ่งต้องมีรากฐานทางจิตวิญญาณ ประการที่สองต้องสามารถเปิดช่องทางจิตวิญญาณได้

ทำไมราชวงศ์ไม่พาข้าไปเปิดจิตวิญญาณของข้าล่ะ" โม่บ่อกี้ ถามด้วยความตื่นเต้น

เสียงของ ย่านเอ๋อ เริ่มแผ่วลงและพูดว่า "เมื่อนายผู้เฒ่ามาถึงเมืองราวโจว เขาวุ่นวายกับการพยายาทขึ้นครองราชบัลลังก์ เมื่อเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็อยากให้นายท่านเรียนวิทยายุทธ  นายผู้เฒ่าสะสมเงิน จนเพียงพอให้นายน้อย ทดสอบรากพื้นฐาน และเปิดช่องทางวิญญาณของท่าน ถึงอย่างนั้น หลังจากการทดสอบ ก็พบว่านายน้อยท่าน มีรากฐานมนุษย์ เหมือนนายผู้เฒ่า

 คนที่มีรากฐานมนุษย์ตามปกติ จะไม่สามารถฝึกตน และไม่สามารถเรียนรู้วิทยายุทธได้

"อะไรคือรากฐานมนุษย์" หัวใจของ โม่บ่อกี้ ตกวูบลง แต่ยังคงถามต่อไป
เมื่อตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ยังจะมีอะไรที่เขายอมรับไม่ได้อีก

ย่านเอ๋อ รู้สึกเสียใจแทน โม่บ่อกี้  จึงถอนหายใจแล้วพูดว่า "ข้าได้ยินจากนายท่านผู้เฒ่า ว่ารากฐาน จะส่งผลโดยตรงกับวิทยายุทธ ของคนคนหนึ่ง โดยปกติ คนที่ปราศจากรากฐานทางจิตวิญญาณ จะถูกเรียกว่ารากฐานมนุษย์ หรือที่เรียกว่ารากไร้ประโยชน์ คนที่มีรากฐานของมนุษย์ก็เหมือนกับคนธรรมดา

ผู้ที่มีรากฐานทางวิญญาณสามารถฝึกตนได้ และระดับรากฐานทางวิญญาณของแต่ละคน จะสามารถแบ่งออกเป็นระดับต่างๆได้  ระดับต่ำ ระดับปานกลาง ระดับสูง และระดับสูงสุด ข้าได้ยินคนพูดว่า มีขั้นที่สูงกว่าระดับสูงสุด แต่ข้าไม่แน่ใจว่าระดับเหล่านี้เป็นอย่างไร "

"ดังนั้น ข้าแค่มีรากมนุษย์เท่านั้น ... "  โม่บ่อกี้  ไม่อาจซ่อนความผิดหวังไว้ได้ หลังจากได้ยินคำพูดของ ย่านเอ๋อ

ย่านเอ๋อ พยายามปลอบโยน โม่บ่อกี้ ว่า "นายท่านแม้กระทั่งใน เมืองเฉิงตู เองก็มีเพียงคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่มีรากฐานทางวิญญาณ  ส่วนคนที่เหลืออย่างเรา มีเพียงรากฐานมนุษย์เท่านั้น  แต่ผู้คนเหล่านั้นก็ใช้ชีวิตได้ดีมีความสุข ข้ามั่นใจว่าพวกเราจะเป็นเช่นนั้นด้วย "

          โม่บ่อกี้  กำหมัดแน่นแล้วพูดว่า "ย่านเอ๋อ พรุ่งนี้ข้าจะไปหางานทำ ข้าต้องการเก็บเงินบางส่วน เพื่อเตรียมตัวที่จะลองเปิดจิตวิญญาณของข้าอีกครั้ง"
         
"อา ... " ย่านเอ๋อ ตกใจกับการตัดสินใจของ โม่บ่อกี้ แต่เข้าใจว่าเขากำลังพยายามจะทำอะไร "นายท่านโปรดอย่าทำอย่างนั้น หลายครั้งที่นายผู้เฒ่าเก็บเงิน เพื่อทดสอบรากฐานของท่าน และแม้รู้ว่านายน้อยมีรากฐานของมนุษย์ นายผู้เฒ่าก็ยังคงพยายามที่จะเปิดจิตวิญญาณของท่าน เพื่อที่ท่านผู่เฒ่า จะต้องรับรู้ว่า รากมนุษย์นั้นไม่อาจนับเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณ หลังจากความพยายามทั้งหมดนั้น นายผู้เฒ่า ก็สิ้นบุญ ไปด้วยอาการป่วย ไม่นานหลังจากนั้น ... "

คำพูดของ ย่านเอ๋อ อาจจะถูกบิดเบือนเล็กน้อย แต่ โม่บ่อกี้ เข้าใจในสิ่งที่นางพยายามจะชี้ให้เห็น ในอดีต ถ้านายผู้เฒ่า(บิดาของ โม่ชิงเหอ)ไม่ลองเปิดจิตวิญญาณของ โม่ชิงเหอ(โม่บ่อกี้) ถึงแม้ว่าเขาอาจจะยากจนแค่ไหน แต่เขาคงไม่ตายด้วยความเจ็บป่วยโดยไร้เงินรักษา นี่พิสูจน์ว่าจำนวนเงินที่จำเป็นนั้น ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ถึงอย่างนั้น การได้อาศัยอยู่ในสองโลกที่แตกต่างกันทำให้ โม่บ่อกี้ ไม่ไร้เดียงสาเหมือน ย่านเอ๋อ

โม่ หยงกวน บังเอิญป่วยตาย หลังจากที่เขาพยายามจะเปิดจิตวิญญาณของ  โม่บ่อกี้  มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างป่วยกระทันหัน  จากมุมมองนี้ ถ้าเขาได้เปิดจิตวิญญาณ เขาเองก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
"อย่าได้กังวลไป ย่านเอ๋อ ข้ามั่นใจว่า ข้าจะหาเงินได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าจะไม่ให้เจ้า ไปขอยืมข้าวจากป้าลู่ เพราะข้าจะดูแลเจ้าเอง" โม่บ่อกี้ พูดขณะที่เดินเข้าหา ย่านเอ๋อ และสัมผัสเบาๆ ที่ผิวสีเหลืองซีดมี่ขาดสารอาหารของ ย่านเอ๋อ

ย่านเอ๋อ อายุยังน้อย ข้านึกไม่ออกว่า นางเสียสละไปขนาดไหน เมื่อพ่อแม่ของ โม่ชิงเหอ ตายไป แล้วนางต้องดูแล โม่ชิงเหอ ที่กลายเป็นบ้า

ป้าลู่เป็นเพียงเจ้าของบ้านเช่า ของพวกเขา และนางได้ให้ความช่วยเหลืออย่างมากกับพวกเขาตลอดมา ในตอนนี้ ป้าลู่เป็นภรรยาม่าย และด้วยเหตุนี้ชีวิตของนาง จึงไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นการขอข้าวจากนาง จึงเป็นภาระของป้าลู่เช่นกัน
 โม่บ่อกี้  นั้นเคยเป็นนักพฤกษศาสตร์ชั้นนำ ในประเทศที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  การที่จะหาอาหารสามมื้อต่อวัน ไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับเขา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น